ดร.วิรไท ฝากภาคธุรกิจ ทำเรื่องความยั่งยืน อย่าติดอยู่ในกรอบ CSR

ดร.วิรไท สันติประภพ เลขาธิการมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์
ดร.วิรไท สันติประภพ เลขาธิการมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์

ดร.วิรไท สันติประภพ ฝากถึงภาคธุรกิจทำเรื่องความยั่งยืน อย่ามองแค่ปัญหาสิ่งแวดล้อม ควรมองเรื่องสังคม และธรรมาภิบาลควบคู่กัน แนะระวังอย่าติดอยู่ในกรอบการทำ CSR ใครทำก่อนชนะก่อน 

วันที่ 21 กันยายน 2566 ดร.วิรไท สันติประภพ เลขาธิการมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่องการเปลี่ยนผ่านด้านความยั่งยืนของประเทศไทย ในงานประชุมด้านความยั่งยืนเพื่อส่งเสริมความร่วมมือในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม ที่จัดโดยกลุ่มธุรกิจ TCP ว่า

องค์การสหประชาชาติให้คำนิยามคำว่า Sustainability หรือความยั่งยืนเอาไว้ว่า คือการพัฒนาที่ตอบโจทย์ความจำเป็นสำหรับคนรุ่นปัจจุบัน โดยไม่ไปเบียดเบียนโลกและสิ่งแวดล้อม ทั้งยังต้องให้ความสำคัญกับการกระจายประโยชน์อย่างเป็นธรรม ดูแลคนที่อยู่รากฐานสังคมให้ดีขึ้นด้วย ซึ่งสอดคล้องกับพระราชปณิธานของสมเด็จย่า ที่ได้ให้ไว้กับมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงว่า ปลูกป่าแล้วต้องปลูกคนด้วย นั่นหมายถึง มูลนิธิไม่ได้มุ่งแค่ปลูกต้นไม้ฟื้นฟูป่าอย่างเดียว แต่ต้องทำให้คุณภาพชีวิตของคนดีขึ้นด้วย

เรื่องความยั่งยืนในทางปฏิบัติ เรามุ่งทำอยู่ 3 เรื่องที่เรียกกันสั้น ๆ  คือ ESG ซึ่งย่อมาจาก Environmental, Social, Governance เป็นแนวคิดที่ได้มาจากประเทศฝั่งตะวันตก ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าในฝั่งตะวันตกนั้น เรื่องของ S และ G ก็คือ สังคม กับธรรมาภิบาลมีมาตรฐานที่ดีกว่าประเทศกำลังพัฒนา เขามีกรอบ กฏเกณฑ์ที่เข้มแข็ง มีสวัสดิการในการดูแลสังคมดีกว่า ฉะนั้นถ้าในการทำ ESG เขาจึงมุ่งเน้นไปที่ด้าน E ก็คือสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก เพราะเป็นความท้าทายใหม่ของโลก และกำลังเกิดผลกระทบรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ

“แต่ในประเทศกำลังพัฒนา ผมมองว่าเรี่องสังคมและธรรมาภิบาลก็สำคัญไม่น้อย โดยเฉพาะประเทศที่มีปัญหาเรื่องความยากจน ความเหลื่อมล้ำ ความขัดแย้ง การเอารัดเอาเปรียบกัน ยังมีปัญหาเรื่องธรรมาภิบาล ขาดระบบธรรมาภิบาลที่ดี ไม่มีกฏระเบียบที่เป็นธรรม หรือยังมีการคอรัปชั่นที่อยู่ระดับสูงมาก เราจะขับเคลื่อนสังคม สิ่งแวดล้อมให้ยั่งยืนได้อย่างไร

Advertisment

ทำไมภาคธุรกิจต้องทำเรื่องความยั่งยืน?

ดร.วิรไทกล่าวต่อว่า ทำไมภาคธุรกิจต้องให้ความสำคัญกับความยั่งยืน? ผมแบ่งออกเป็น 5 มิติ ได้แก่

มิติที่ 1 ปฏิเสธไม่ได้ว่าธุรกิจจำนวนไม่น้อยมีส่วนในการเบียดเบียนทรัพยากรต่าง ๆ ธุรกิจจำนวนไม่น้อยสร้างปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม บางธุรกิจมีพฤติกรรมเบียดเบียนธุรกิจขนาดเล็กที่อยู่ใน Value Chain ใช้อำนาจเหนือตลาด หรือสร้างปัญหาด้านธรรมาภิบาล ปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นเรื่อย ๆ ในสังคม รวมถึงไทยด้วย

มิติที่ 2 การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จะส่งผลต่อการทำธุรกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่น ขณะนี้ภัยพิบัติเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งแน่นอนว่ากระทบต่อโลจิสติกส์ การขนส่งต่าง ๆ รวมถึงกระทบค่าประกัน และน้ำสะอาดก็จะหายากมากขึ้น เราจะเห็นว่าเริ่มเห็นปัญหาคนย้ายถิ่นฐานในหลายภูมิภาค เพราะไม่สามารถอาศัยอยู่ในพื้นที่เดิมได้

มิติที่ 3 กฏเกณฑ์กติกา ภาครัฐในหลายประเทศ ออกมาเพื่อตอบปัญหาในอดีต ไม่เท่าทันกับปัญหาที่เกิดขึ้นใหม่ ดังนั้นการคาดหวังให้ภาครัฐเป็นผู้นำเรื่องความยั่งยืน อาจจะเกิดผลยาก เนื่องจากภาครัฐก็ยังขาดแคลนบุคลากร ที่มีความรู้ความเข้าใจเรื่องความยั่งยืน

Advertisment

มิติที่ 4 ภาคธุรกิจจะต้องเผชิญกับกฏเกณฑ์หรือกติกาใหม่ ๆ อีกมาก ไม่ว่าจะเป็นภาษีคาร์บอน อย่าง CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) เกี่ยวข้องกับการส่งออก หรือกฏระเบียบเรื่องคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของอุตสาหกรรมการบิน กฎหมายแรงงาน สิทธิมนุษยชน ซึ่งมีแนวโน้มมากขึ้น ฉะนั้นภาคธุรกิจจึงต้องปรับตัว

มิติที่ 5 ความคาดหวังของคนรุ่นใหม่ ประเด็นนี้สำคัญมาก เพราะคนรุ่นใหม่เขาต้องรับภาระ ปัญหาต่าง ๆ ในอนาคต คนรุ่นใหม่คาดหวังให้ภาคธุรกิจปรับเปลี่ยนกระบวนการทำธุรกิจที่ไม่เบียดเบียนผู้อื่น หรือสร้างปัญหาให้กับคนรุ่นต่อไป ซึ่งคนรุ่นใหม่ก็อาจจะหมายถึงลูกค้า พนักงานของเราในอนาคต

“ในต่างประเทศ เรื่องการพัฒนาที่ยั่งยืน เขาไปไกลมาก จะทำธุรกิจ ต้องได้รับอนุญาตจากสังคมด้วย ทั้งยังคาดหวังว่าธุรกิจจะช่วยแก้ปัญหาสังคมได้อย่างไร แต่อย่างไรก็ดี ธุรกิจไม่ใช่องค์กรการกุศล ยังต้องแสวงหากำไร เวลาพูดเรื่องความยั่งยืน ผมมักจะใช้ความหมายสั้น ๆ ว่า การทำธุรกิจ เป็นการทำงานที่ทำให้ธุรกิจชนะ และสังคมวัฒนาไปพร้อม ๆ กัน”

ฝาก 3 ข้อที่ภาคธุรกิจควรระวัง

ดร.วิรไทกล่าวอีกว่า ข้อสังเกตจากการทำเรื่องความยั่งยืนที่ผ่านมา พบว่าในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา หลายบริษัททำเรื่องนี้มากขึ้น แต่บางบริษัทก็เพิ่งจะเริ่มทำ และมี 3 ประเด็นที่น่าสนใจคือ

ประเด็นแรก คือเราต้องระวังไม่ให้ติดอยู่ในกรอบการทำ CSR บางคนคิดว่าการทำความยั่งยืน ต่อยอดมาจาก CSR ซึ่งจริง ๆ แตกต่างกันมาก เพราะ CSR ไม่ได้เกี่ยวข้องกับ core business แต่เป็นความต้องการจากภายนอก หรือความต้องการของสังคม ความต้องการของผู้บริหารระดับสูง

อีกทั้งการจัดสรรงบประมาณ CSR ก็มักจะถูกจัดสรรมาจากกำไรในแต่ละปี บางครั้งไม่ต่อเนื่อง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับธุรกิจหลักเท่าไหร่ และมักจะให้ฝ่ายทรัพยากรบุคคล หรือฝ่ายสื่อสารองค์กรเป็นผู้นำหลัก และ CSR มักจะถูกมองว่าเป็นเรื่องที่ต้องใช้ค่าใช้จ่าย แต่ถ้าทำเรื่องความยั่งยืนต้องมองว่าเป็นเรื่องการลงทุน สิ่งที่ทำก็มักจะสอดคล้องในธุนกิจหลักของตนเอง ดังนั้นวันนี้เราเห็นธุรกิจจำนวนมากในไทยที่เคลื่อนจาก CSR มาสู่ความยั่งยืน ผนึกในกลยุทธ์จริงจังแล้ว

ประเด็นที่สอง สิ่งที่ควรระวังคือการทำเรื่องความยั่งยืน มีแรงกดดันจากภายนอกมาก โดยเฉพาะเรื่องการวัดผล เพราะมีตัวชี้วัด มีดัชนีที่ธุรกิจต้องพยายามมุ่งทำรายงาน เพื่อให้เข้าไปอยู่ในรายชื่อเด่น ๆ เพื่อให้ได้รางวัล โดยลืมมองเรื่องการสร้างความเปลี่ยนแปลง

ประเด็นที่สาม จะทำอย่างไรที่เราจะให้ความสำคัญเรื่องสังคม กับธรรมาภิบาล ไม่น้อยไปกว่าเรื่องสิ่งแวดล้อม

เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือสำคัญ

อย่างไรก็ตาม ดร.วิรไทกล่าวด้วยว่า เรื่องความยั่งยืนต้องมุ่งพลิกโฉมองค์กร ผู้บริหารต้องมองเรื่องความเปลี่ยนแปลง และผนวกเข้าไปในกลยุทธ์การทำธุรกิจ ถ้าไม่เริ่มทำ แล้วคนอื่นทำก่อนเราก็จะกลายเป็นผู้วิ่งตาม สุดท้ายทำให้ต้นทุนสูงมาก

“ผมมองว่าความยั่งยืนเป็นการบริหารจัดการความเสี่ยงองค์กร และจะต้องนำเทคโนโลยีมาใช้ ยกตัวอย่าง ภาคการบิน เป็นธุรกิจที่มีนวัตกรรมเยอะมาก เพราะมีกติกาเรื่องการปล่อยคาร์บอน เช่น สายการบิน Finnair เขาตั้งเป้าลดน้ำหนักเครื่องบินลง โดยใช้นวัตกรรมใหม่คือชั้นธุรกิจเปลี่ยนเก้าอี้ ลักษณะคล้ายโซฟาให้มีการปรับเอนแบบสไลด์ได้

หรือ Nike เมื่อ 10 ปีก่อน เคยเป็นธุรกิจที่ปล่อยน้ำเสียเยอะมาก จากการย้อมเสื้อผ้ากีฬา จึงลงทุนหาเทคโลยีย้อมผ้าแบบใหม่โดยไม่ใช้น้ำ จนกลายเป็นเจ้าของเทคโนโลยีนั้น และกำลังเป็นผู้นำในการผลักดันเรื่องนี้ในอุตสาหกรรมเขา ดังนั้นการพัฒนาที่ยั่งยืนจะต้องมีนวัตกรรม หรือเทคโนโลยีเข้ามาใช้”

ทำก่อนชนะก่อน

“สุดท้ายแล้วสิ่งที่สำคัญคือการสื่อสารให้ลูกค้า และสังคมรับรู้ว่าธุรกิจกำลังทำอะไรอยู่ ใครทำก่อนมีโอกาสก่อน ทำอย่างไรให้ธุรกิจชนะ และสังคมวัฒนาไปพร้อมๆ กัน และที่สำคัญที่ผมอยากจะฝากคือให้มองกว้างๆ มองไกลๆ อย่างรอบด้าน ไม่ได้มีเพียงเรื่องสิ่งแวดล้อมอย่างเดียว แต่วันนี้เรื่องสังคม ก็สำคัญ เรามีเรื่องอื่น ๆ อีกมาก เช่น คอรัปชั่น หนี้ครัวเรือนก็เป็นปัญหาใหญ่ ๆ ถ้าเราไม่โฟกัสประเด็นสังคม และธรรมาภิบาลด้วยมันก็จะขับเคลื่อนความยั่งยืนได้ยาก”