“แสนสิริ” นำขึ้นทะเบียนเด็ก จี้รัฐคุมไซต์ก่อสร้างตั้งศูนย์ดูแล

แรงงานต่างด้าวเข้ามามีบทบาทในตลาดแรงงานมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่มีการขยายธุรกิจ ทั้งโครงการคอนโดมิเนียมตามแนวรถไฟฟ้า และโครงการหมู่บ้านต่าง ๆ ซึ่งโครงการเหล่านี้ไม่ได้มีเพียงแรงงานต่างด้าวเท่านั้น แต่จะมีครอบครัวติดตามมาด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “เด็ก”

โดยช่วงผ่านมามีการปล่อยเด็กให้ใช้ชีวิตในพื้นที่ก่อสร้าง ซึ่งถือว่าอันตรายอย่างมาก จึงจำเป็นต้องมีมาตรการดูแล และถือเป็นความรับผิดชอบของผู้ประกอบการ อย่างเช่น บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ที่มีการดูแลอย่างเป็นระบบผ่านโครงการ CSR ต่าง ๆ และขณะนี้เตรียมโปรเจ็กต์ใหม่ การจัดทำระบบ “ทะเบียนเด็กต่างด้าว” ซึ่งถือว่าแสนสิริเป็นรายแรกในธุรกิจนี้ที่แสดงจุดยืนในการดูแลทุกส่วนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง เพื่อให้ธุรกิจ และสังคมเติบโตไปพร้อม ๆ กันอย่างยั่งยืน

“สิรินทรา มงคลนาวิน” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายวางแผนองค์กรและพัฒนาความยั่งยืน แสนสิริ ระบุว่าในช่วงที่ผ่านมาแสนสิริให้ความสำคัญกับการดูแลเด็กโดยเฉพาะเด็กที่ต้องติดตามครอบครัวมาทำงาน แสนสิริมีโครงการที่ดูแล และพัฒนาพร้อมทั้งให้การศึกษากับเด็กอย่างต่อเนื่อง ซึ่งที่ผ่านมาปัญหาสำคัญในการดูแลเด็กเหล่านี้คือ “ข้อมูล”

“แสนสิริจึงเตรียมจัดทำระบบขึ้นทะเบียนเด็กต่างด้าวโดยเฉพาะเพื่อ

1) เมื่อมีข้อมูลเด็กต่างด้าวแล้วจะทำให้รู้ว่าจะพัฒนาเด็กอย่างไร ทั้งการศึกษาที่จะนำเด็กเข้าสู่ระบบโรงเรียน และสุขภาพโดยทั่วไป เช่น การให้วัคซีน เป็นต้น

2) เมื่อแรงงานต่างด้าวมีการเคลื่อนย้ายไปสู่ไซต์ก่อสร้างอื่น ๆ ผู้ประกอบการรายอื่น ๆ ก็สามารถดึงข้อมูลไปใช้เพื่อบริหารจัดการและดูแลเด็กต่างด้าวได้ต่อเนื่อง

และ 3) หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องสามารถดึงข้อมูลไปใช้ประโยชน์ได้ โดยเฉพาะแรงงานต่างด้าวในธุรกิจประมงที่กำลังอยู่ในระหว่างดำเนินการแก้ไขปัญหา”

สำหรับความคืบหน้าล่าสุด ทีมงานของแสนสิริอยู่ในระหว่างดำเนินการเก็บข้อมูลมาตั้งแต่ช่วงเดือนมิถุนายน ที่ผ่านมา และคาดว่าระบบฐานข้อมูลเด็กจะแล้วเสร็จในเดือนตุลาคม อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันมีแรงงานต่างด้าวในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ประมาณ 60,000 คน ในจำนวนนี้มีประมาณ 700 คนที่อยู่ในโครงการก่อสร้างของแสนสิริ

“โปรเจ็กต์นี้ไม่เพียงแต่ช่วยสังคม แต่แสนสิริมองว่า การดูแลตั้งแต่แรงงานไปจนถึงครอบครัวของเขา จะช่วยทำให้แรงงานต่างด้าวเหล่านี้เลือกที่จะทำงานร่วมกับแสนสิริต่อไป ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงขาดแคลนแรงงานในอนาคต เพราะปัจจุบันแรงงานไทยส่วนใหญ่ต่างพัฒนาทักษะเพื่อจะทำงานที่ต้องใช้ฝีมือมากกว่างานเสี่ยงอันตรายมากขึ้นด้วย”

“สิรินทรา” ยังบอกอีกว่า การจัดทำทะเบียนเด็กต่างด้าวดังกล่าว สอดคล้องกับนโยบายของภาครัฐที่ต้องการให้แรงงานต่างด้าวมีประวัติ เพื่อให้สามารถเข้าถึงระบบหลักประกันสุขภาพและอื่น ๆ ที่ควรจะได้รับ และเพื่อให้เป็นมาตรฐานเดียวกันนั้น แสนสิริพร้อมด้วยพันธมิตรอย่างยูนิเซฟ เตรียมนำเสนอภาครัฐให้ออกเป็นกฎหมายหรือกฎกระทรวงว่าผู้ประกอบการจะต้องจัดทำทะเบียนเด็กต่างด้าว และโครงการก่อสร้างทุกโครงการจะต้องมีการจัดตั้งศูนย์เพื่อดูแลเด็กด้วย

“ยอมรับว่าการทำทะเบียนเด็กต่างด้าว รวมถึงการจัดตั้งศูนย์ดูแลเด็กในทุกไซต์ก่อสร้างเป็นต้นทุนที่เพิ่มขึ้น แต่ในแง่ของการทำธุรกิจอย่างยั่งยืนถือว่าตอบโจทย์ โดยหลังจากที่ระบบฐานข้อมูลแล้วเสร็จ แสนสิริจะมีแคมเปญเดินสายเพื่อรณรงค์เรื่องดังกล่าวเพื่อให้องค์กรต่าง ๆ ตระหนักถึงการดูแลเด็กต่างด้าวและเด็กไทยต่อไป”


นอกเหนือจากโครงการขึ้นทะเบียนเด็กต่างด้าวในไทยแล้ว แสนสิริยังมีความร่วมมือกับยูนิเซฟมาแล้วกว่า 7 ปี ในการบริจาคเงินกว่า 250 ล้านบาท เพื่อนำไปดูแลเด็กทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กไทยให้ได้รับการดูแลตามสิทธิขั้นพื้นฐาน เพราะในปัจจุบันมีเด็กที่ต้องเผชิญปัญหาต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านการศึกษา ความรุนแรงและอื่น ๆ อีกมากมาย

ฉะนั้น จึงทำให้ทั้งแสนสิริและยูนิเซฟมุ่งมาให้การช่วยเหลือเด็ก ทั้งเรื่องสุขภาพ การศึกษาและกีฬาให้กับเด็กอย่างต่อเนื่อง และขณะนี้อยู่ระหว่างจัดทำโปรเจ็กต์ “บ้านแสนธรรมดา” เพื่อระดมทุนผ่านระบบออนไลน์ เพื่อนำเงินไปช่วยเหลือและยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับเด็กด้อยโอกาส

ในไทยใน 4 เรื่องหลักคือ ให้โอกาสการศึกษาที่มีคุณภาพ, ยุติความรุนแรง คุ้มครองเด็กให้ปลอดภัยจากความรุนแรงทั้งในบ้านและสังคม, ความปลอดภัย ป้องกันและตรวจสอบเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินหรือวิกฤต พร้อมให้การช่วยเหลืออย่างทันท่วงที และสุขภาพที่ดี คือการดูแลตั้งแต่ขั้นพื้นฐานในการจัดหายาและเวชภัณฑ์ที่จำเป็นกับเด็กยากไร้ที่ต้องการ ด้วยความคาดหวังที่ว่าจะช่วยเปลี่ยนชีวิตเด็กในไทยอีกหลายล้านคนให้ดีขึ้น

ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากความเชื่อของแสนสิริที่ว่า “เด็ก” คือรากฐานที่ดีของสังคมต่อไปในอนาคต