หลายองค์กรให้ความสำคัญในการดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อม รวมถึงการยกระดับชีวิตชุมชนให้ดีขึ้นด้วย จนถึงวันนี้จากเดิมที่ใช้รูปแบบเงินบริจาค เปลี่ยนมาเป็นการใช้รูปแบบที่สามารถตอบโจทย์คำว่า ภาคธุรกิจและชุมชนเติบโตร่วมกันอย่าง “ยั่งยืน” โดยเฉพาะอย่างยิ่งรูปแบบของวิสาหกิจชุมชน หรือ SE (social enterprise) ที่เห็นเป็นรูปธรรมและจับต้องได้ คือ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ที่จัดตั้งบริษัท วิสาหกิจชุมชน จำกัด เพื่อพัฒนาโครงการที่เป็น SE โดยเฉพาะ
และเพื่อให้ลงลึกถึงรายละเอียด “ประชาชาติธุรกิจ” สัมภาษณ์ “ชาญศิลป์ ตรีนุชกร” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ปตท.
- ลูกแม่ค้าขายผัก-พ่อขับแท็กซี่ สู่เก้าอี้ “ปลัดพลังงาน” บทพิสูจน์ชีวิต “ดร.ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ”
- KBANK ปรับโครงสร้างใหญ่ ลดจำนวนบอร์ด ตั้ง 4 เอ็มดีเป็น “ผู้จัดการใหญ่” มีผล 1 พ.ค.67
- เงื่อนไขปุ๋ยลดราคาเฟส 2 สูตรไหน-พืชชนิดใดบ้าง
“ชาญศิลป์” เริ่มต้นเรื่องราวโครงการดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อม ว่า จะมุ่งเน้นไปที่การใช้รูปแบบ SE เพราะตอบโจทย์ทั้งภาคธุรกิจและสังคม พัฒนาการที่ผ่านมาทำให้พบว่ารูปแบบ SE ทำให้ ปตท.ใช้งบประมาณเท่าเดิมแต่สามารถสร้างเครือข่ายและเชื่อมโยงกับชุมชนได้มากขึ้น และที่สำคัญคือ มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึง ปตท.ยังได้ใช้ธุรกิจที่มีอย่างสถานีบริการน้ำมัน และร้านกาแฟอเมซอน เป็นเครื่องมือในการดูแลสังคมด้วย
รูปแบบ SE ด้วย คือ 1) ใช้สถานีบริการน้ำมันที่กระจายอยู่ทั่วประเทศเป็นที่วางจำหน่ายผลผลิตทางการเกษตรของเกษตรกรโดยที่ไม่มีต้นทุนเพิ่มในการเช่าที่
2) ใช้ร้านกาแฟอเมซอนเป็นพื้นที่สร้างงานให้กับผู้ด้อยโอกาส ผู้พิการทางหู ฯลฯ
3) ใช้บริษัท สานพลัง วิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด เข้าไปร่วมลงทุนในโครงการที่เกี่ยวข้องกับการสร้างอาชีพเพื่อพัฒนาและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน เช่น การรับซื้อเมล็ดกาแฟจากผู้ปลูก โดยให้ราคาที่ดีกว่า ภายใต้เงื่อนไขคือต้องช่วยเพิ่มพื้นที่ปลูกป่าและดูแลรักษาไปพร้อมกันด้วย ปัจจุบันกาแฟจากชุมชนได้วางจำหน่ายในร้านกาแฟอเมซอนอีกด้วย
“ภาพเหล่านี้จะถูกพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ พัฒนาจิตใจแบบ community มีจิตสาธารณะ ยังมีอีกหลายโครงการของ ปตท.หารือว่าชุมชนรอบปั๊มเราเองก็ต้องดูแลและยังเป็นลูกค้าของ ปตท.ด้วย ในช่วงที่สินค้าเกษตรขายยาก ราคาตกต่ำ ไม่ว่าจะเป็นกระเทียม, เงาะ, ลองกอง และลำไย เรามาทำให้ปั๊มน้ำมันของเราเป็น market ใคร ๆ ก็เข้ามาขายของได้ เท่ากับว่า win-win ทั้ง 2 ฝ่าย ถามว่าถ้าชาวไร่ชาวสวนนำของมาขายก็ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทางมา และรถก็ต้องเติมน้ำมันของเรา และอาจจะใช้หรือไม่ใช้บริการของ ปตท.ก็ได้ และตอนนี้กำลังขยายไปมากกว่านั้น เช่น ความร่วมมือกับ SMEs แบงก์ วิสาหกิจชุมชน เพื่อให้ปั๊มน้ำมันของ ปตท.ยั่งยืนไปพร้อมกับสังคมและชุมชน” CEO ปตท.กล่าว
ในทางปฏิบัติแล้วรูปแบบของ social enterprise ของ ปตท.ที่ชัดเจนและอาจจะเริ่มก่อนที่จะมีรูปแบบดังกล่าวด้วยซ้ำ “ชาญศิลป์” บอกว่า การใช้เอทานอลและไบโอดีเซล (B100) ที่พัฒนามากว่า 10 ปีก็นับว่าเป็น SE แล้ว เพราะวัตถุดิบหลัก คือ กากน้ำตาล และปาล์มน้ำมัน ในขณะนั้นราคาสูงมากเมื่อเปรียบเทียบกับการใช้น้ำมันปกติอย่างน้ำมันเบนซินและดีเซล แต่ในระยะยาวจะดีต่อประเทศเพราะช่วยลดการนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศ ในเครือ ปตท.มีโรงงาน B100 ของบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC และถือเป็นโรงงานผลิตหลักของเครือ ปตท.ที่ใช้ระยะเวลาในการวิจัยและพัฒนาของ ปตท.ที่ค่อนข้างใช้เวลากว่าจะเป็นน้ำมันดีเซลที่ใช้กันในปัจจุบัน
นอกจากจะส่งเสริมอาชีพ สร้างรายได้ให้กับชุมชนแล้ว ปตท.ยังเป็นองค์กรใหญ่ที่เดินหน้าในโครงการปลูกป่าเพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับประเทศอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เมื่อครั้งยังเป็น “การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย” จนมาถึง ปตท.ในทุกวันนี้ “ชาญศิลป์” บอกถึงแรงบันดาลใจสำคัญที่ทำให้ ปตท.ปลูกป่าอย่างมีเป้าหมาย คือ จากพระราชดำรัสของสมเด็จพระนางเจ้า
สิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่มีต่อพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่ว่า “พระเจ้าอยู่หัวเป็นน้ำ ฉันจะเป็นป่า”
CEO ปตท.เล่าย้อนถึงจุดเริ่มต้นของโครงการ “ปลูกป่า 1 ล้านไร่”
“ชาญศิลป์” เล่าต่ออีกว่า ในปี 2537 ที่ ปตท.เริ่มต้นที่ 1 ล้านไร่ เป็นช่วงที่แวดวงพลังงานกังวลว่าฟอสซิลอาจจะสร้างปัญหาให้กับโลกในอนาคตได้ ฉะนั้น เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาจึงต้องวางแผนสำหรับอนาคต คือ ต้องหาเครื่องมือที่ช่วยดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ และเครื่องมือที่ทรงประสิทธิภาพก็เห็นจะมีเพียงการปลูกป่า ทั้งที่ในขณะนั้น ปตท.อยู่ระหว่างตั้งหลักทางธุรกิจ ผลกำไรก็อยู่ที่เพียง 1,000 ล้านบาท แต่ก็พร้อมที่จะสานต่อการขยายพื้นที่ปลูกป่า ตามมาด้วยป่าวังจันทร์ ป่าในกรุง เพราะไม่ต้องการให้ประเทศเผชิญกับความแห้งแล้ง ที่สำคัญหากพื้นที่ป่าไม่ถูกทำลายจากการปลูกสวนยางทดแทน ธรรมชาติสมดุลก็คงไม่เกิดปัญหาน้ำท่วมใหญ่ในปี 2554
หลังจากนั้น เมื่อ ปตท.มีความเข้มแข็งทางธุรกิจอย่างมาก มีโครงการที่เกี่ยวข้องกับการสร้างผืนป่าเพิ่มเติมอีก คือ โครงการสวนสมุนไพร และหลังจากที่ ปตท.เข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยแล้ว ทำให้สถานะการเงินที่แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น จึงตามมาด้วยโครงการป่าวังจันทร์ ป่าในกรุง จนถึงการสร้างสถาบันปลูกป่า และโครงการระดับมาสเตอร์พีซอย่าง “คุ้งบางกะเจ้า”
ชาญศิลป์ ระบุว่า แกนหลักในการดำเนินการโครงการคุ้งบางกะเจ้า หรือพื้นที่ปอดผืนใหญ่ให้กับคนกรุง คือ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. ที่ตั้งใจจะพัฒนาให้เป็นมากกว่าปอดของคนกรุง อาจจะเพิ่มกิจกรรมในพื้นที่ให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวต่อไปในอนาคต
อีกความภูมิใจของ ปตท.ในการดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อม คือ โครงการลูกโลกสีเขียว ที่ขณะนี้เครือข่ายในโครงการดังกล่าวมีประมาณ 20,000 คนแล้ว และทุกคนก็พร้อมที่จะรักษาผืนป่าอีกด้วย นับเป็นกลยุทธ์ของ ปตท. ส่งเสริมให้มีกิจกรรมพร้อมทั้งสร้างอาชีพเพื่อให้ชุมชนสามารถอยู่ร่วมกับผืนป่าได้ โครงการต่าง ๆ ที่ดำเนินการไม่เพียงแต่ตอบโจทย์ขององค์กรและชุมชนเท่านั้น แต่ยังตอบโจทย์เทรนด์ของโลกเรื่อง SDGs (sustainable development goals) หรือเป้าหมายของการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (UN) อีกด้วย
ในช่วงท้าย “ชาญศิลป์” บอกว่า การเริ่มต้นในแต่ละโครงการว่ายากแล้ว แต่การรักษาให้เหมือนหรือดีขึ้นจากจุดเริ่มต้น กลับยากยิ่งกว่า ด้วยเพราะบริบทต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นบริบทสังคม ประเทศ คน เทคที่แปรเปลี่ยนไปตามกาลเวลา ปตท.จึงคิดอยู่เสมอว่า จะทำอย่างไรให้ชุมชนได้เติบโตไปพร้อมกับ ปตท. และปลูกป่าในใจคนเพิ่มให้ได้ พร้อมทั้งให้พวกเขาได้ร่วมมือกันดูแล และทำกิจกรรมที่ให้ตระหนักคิดว่า เมื่อใช้ประโยชน์จากป่าแล้ว ต้องช่วยกันบำรุงรักษาป่าด้วย เพราะป่าก็คือ “บ้าน”