แสนสิริ ออกหุ้นกู้ 100 ล้านบาท ปั้น “ราชบุรีโมเดล” ช่วยเด็กทุกคนได้เรียน

เศรษฐา ทวีสิน ประธานอำนวยการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน)

แสนสิริประกาศพันธกิจ Zero Dropout ออกหุ้นกู้ 100 ล้านบาท ลดเด็กหลุดออกจากระบบการศึกษาเป็นศูนย์ภายใน 3 ปี นำร่องราชบุรี เพราะเด็กเสี่ยงหลุดจากระบบกว่า 10,000 คน

วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2565 บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ประกาศพันธกิจใหญ่ “Zero Dropout เด็กทุกคนต้องได้เรียน” ออกหุ้นกู้ 100 ล้านบาท อันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้ BBB+ เพื่อสนับสนุสกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ปั้น “ราชบุรีโมเดล” จังหวัดต้นแบบ รวมพลังคนไทยเปลี่ยนการศึกษาไทยลดเด็กหลุดออกจากระบบการศึกษาเป็นศูนย์ ภายใน 3 ปี กำหนดเปิดจองซื้อ วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2565 เวลา 8.30 น. ผ่าน SCB Easy App

นายเศรษฐา ทวีสิน ประธานอำนวยการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปี 2565 นี้แสนสิริเตรียมออกหุ้นกู้เพื่อระดมทุน 100 ล้านบาท สำหรับใช้ในโครงการ Zero Dropout ครั้งแรกในเอเชีย โดยนำร่องที่จังหวัดราชบุรี เพราะมีเด็กเสี่ยงหลุดจากระบบการศึกษาอยู่ประมาณ 10,000 คน

รวมทั้งเป็นจังหวัดที่ยังมีปัญหาหลากหลายด้าน เช่น ความเหลื่อมล้ำในการศึกษาจากภูมิศาสตร์จังหวัดติดชายแดน ที่มีสภาพทั้งแบบชุมชนและเมือง ขณะที่ยังเป็นจังหวัดที่อยู่ใกล้กับกรุงเทพฯ ที่ทำให้ทุกคนสามารถมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมช่วยเหลือเด็กได้โดยง่าย

รวมถึงที่สำคัญคือ แสนสิริไม่มีการพัฒนาโครงการและไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนในพื้นที่ดังกล่าว ทำให้มีความโปร่งใส นอกจากนี้ยังสามารถตรวจสอบได้ผ่านบัญชี Escrow Account ของธนาคารไทยพาณิชย์ ในชื่อ บมจ.แสนสิริ เพื่อสนับสนุนโครงการร่วมกับ กสศ. ซึ่ง กสศ. จะมีการจัดทำแผนรายปี และเบิกค่าใช้จ่ายสำหรับโครงการ Zero Dropout ไม่เกินปีละ 3 ครั้ง

Advertisment

สำหรับหุ้นกู้แสนสิริที่จะเสนอขายในครั้งนี้มีมูลค่าเสนอขายไม่เกิน 100 ล้านบาท อายุ 3 ปี อันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้ BBB+ ลงทุนขั้นต่ำ 1,000 บาท ซึ่งไม่เพียงแต่ได้ลงทุนเพื่อรับผลตอบแทนจากการลงทุน 3.20% ต่อปี รับดอกเบี้ยทุก 3 เดือนตลอดอายุหุ้นกู้ แต่ยังเป็นการลงทุนในอนาคตเด็ก ให้เด็กได้เข้าสู่ระบบการศึกษา ไม่มีใครหลุดจากระบบการศึกษาและโดนทิ้งไว้ข้างหลัง โดยเงิน 100 ล้านบาทจากการระดมทุนจะบริจาคให้ กสศ. ทั้งหมด เพื่อปั้น “ราชบุรีโมเดล”

นายเศรษฐากล่าวด้วยว่า เป้าหมายของโครงการ Zero Dropout เด็กทุกคนต้องได้เรียน คือการวางแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษาไทยอย่างยั่งยืน ระยะยาว 3 ปี ครอบคลุมการพัฒนาในทุกด้าน ทั้งการเข้าถึงคุณภาพการศึกษาและความยั่งยืน พร้อมตั้งเป้าให้เด็กต้องอยู่ในระบบการศึกษาในช่วงวัยภาคบังคับ (ป.1-ม.3) และเด็กที่ถึงเกณฑ์ต้องพร้อมเข้าเรียน ป.1 ได้ 100%

โดยมีแผนดำเนินการเริ่มตั้งแต่ปี 2565 นำร่องใน 3 อำเภอ ได้แก่ สวนผึ้ง จอมบึง และบ้านคา จากนั้นในปี 2566 จะขยายไปอีก 4 อำเภอ และในปี 2567 อีก 3 อำเภอ เพื่อช่วยเหลือทั้งเด็กปฐมวัย และเด็กนอกระบบกว่า 11,200 คนที่เสี่ยงหลุดจากระบบการศึกษาในจังหวัดราชบุรีให้เป็นศูนย์ รวมทั้งสนับสนุนทุนทรัพย์ให้เด็กได้เตรียมความพร้อมก่อนเข้าระบบการศึกษา (อัตรา 4,000 บาทต่อคน) จากนั้นจึงส่งต่อสู่กลไกของจังหวัดสานต่อการทำงานในระดับพื้นที่ ตั้งแต่ปีที่ 4 เป็นต้นไป

ดร.ไกรยส ภัทราวาท

ดร.ไกรยส ภัทราวาท ผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) กล่าวว่า จากการสำรวจข้อมูลโดยการสำรวจของ กสศ. พบว่า ตัวเลขนักเรียนยากจนทั่วประเทศที่มีความเสี่ยงที่จะหลุดจากระบบการศึกษาสูงถึง 1.9 ล้านคน มาจากปัญหาด้านเศรษฐกิจเป็นหนึ่งในสาเหตุหลัก สังเกตได้จากรายได้เฉลี่ยต่อครัวเรือนของนักเรียนยากจนพิเศษลดต่ำลงมากจาก 1,289 บาทช่วงก่อนโควิด-19 มาเป็น 1,094 บาทต่อครัวเรือนเมื่อปี 2564

Advertisment

ทำให้นักเรียนยากจนและยากจนพิเศษมีแนวโน้มสูงขึ้นในทุกเทอมจาก 994,428 คนเมื่อปี 2563 เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 1,244,591 คนในภาคเรียนที่ 1 ปี 2564 และเมื่อลงลึกเรื่องตัวเลข ยังพบว่า นักเรียนที่ไม่เรียนต่อ หรือ นักเรียนยากจนพิเศษ หลุดจากการศึกษาสูงถึง 43,060 คน จาก 54,842 คน หรือ 4.67% โดยหลุดจากระบบการศึกษาสูงสุดในชั้น ม.3, ป.6 และชั้นอนุบาล ตามลำดับ

เมื่อลงลึกถึงตัวเลขสถิติ เหตุผลของการหลุดจากการศึกษาของเด็กยากจนพิเศษในสถานการณ์วิกฤติโควิด-19 คือ อันดับ 1 คือ รายได้ของครอบครัวลดลง คิดเป็นจำนวน 87.81% ของเด็กที่หลุดการศึกษา อันดับ 2 ต้องแบกรับภาระอื่นและแบ่งเบาภาระทงเศรษฐกิจแก่ญาติพี่น้อง 38.33% และอันดับ 3 คือ พ่อแม่ ผู้ปกครองตกงาน และถูกพักงานชั่วคราว จึงเป็นที่มาที่คำว่า “ช่วยแม่ทำงาน” “รายได้ลดลง” “ขายของไม่ได้” ถูกขึ้นมาเป็นคีย์เวิร์ดที่สำคัญจากการสำรวจแบบ focus group ของ กสศ. จากกลุ่มตัวอย่าง

นอกจากนี้ กสศ. ยังได้วิเคราะห์ข้อมูลของนักเรียนทุนเสมอภาคในพื้นที่ 29 จังหวัดที่ประสบปัญหาในการเรียนช่วงโควิด-19 พบว่ามีนักเรียนที่เจอปัญหาในการเรียนออนไลน์ถึง 271,888 คน ทั้งจากการที่ไม่มีโทรทัศน์ ไม่มีอินเทอร์เน็ต หรือแม้กระทั่งไม่มีไฟฟ้า

โดยความช่วยเหลือที่นักเรียนและผู้ปกครองต้องการได้รับ 3 อันดับแรก ได้แก่ ค่าครองชีพและของจำเป็น 71.45% รองลงมาเป็นอาหารเช้า/อาหารกลางวัน 35.28% และค่าเดินทาง 28.79% ที่สำคัญที่สุดยังพบว่า เด็กเยาวชนจากครัวเรือนยากจน และยากจนพิเศษ ส่วนใหญ่หลุดออกจากระบบการศึกษาก่อนที่จะมีโอกาสศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาหรือมัธยมศึกษาตอนปลายหรือเทียบเท่า โดยไม่ได้เข้าเรียนปริญญาตรีสูงถึง 94.7%