กลุ่มเซ็นทรัล ร่วม UNEP รณรงค์ เลิฟ ดิ เอิร์ธ ลดขยะ-เพิ่มพื้นที่สีเขียว

(จากซ้ายไปขวา) พิชัย จิราธิวัฒน์, ธันณี ศรีสกุลไชยรัก และ อเล็กซ์ เรนเดลล์

กลุ่มเซ็นทรัล ชู 3 ธีม Better Living, Better Shopping และ Better Travelling ชวนคนไทยลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับเป้าหมาย SDGs ขององค์กรสหประชาชาติ

วันที่ 1 กรกฎาคม 2565 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลุ่มเซ็นทรัล และบริษัทในเครือ ร่วมกับโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP: United Nations Environment Programme) รณรงค์เชิญชวนประชาชนทุกคนร่วมลงมือทำเพื่อลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมจากการใช้ชีวิตประจำวัน ตอกย้ำนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมของกลุ่มเซ็นทรัล กับแคมเปญ “Love the Earth” (เลิฟ ดิ เอิร์ธ) ในการลดปริมาณขยะ (journey to zero) การเพิ่มพื้นที่สีเขียว (central green) และฟื้นฟูป่า (forest restoration) เนื่องในวันสิ่งแวดล้อมโลก (World Environment Day 2022) ที่ผ่านมา

ผ่าน 3 ธีมหลัก Better Living, Better Shopping และ Better Travelling ที่ทุกคนสามารถนำแนวทางไปใช้ได้ในชีวิตประจำวัน ลงมือทำวันนี้เพื่อวันพรุ่งนี้และในอนาคตที่ดีขึ้น สอดคล้องกับเป้าหมาย SDGs ขององค์กรสหประชาชาติ โดยมี “อเล็กซ์ เรนเดลล์” นักแสดงมากความสามารถ และทูตสันถวไมตรีโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP) คนแรกของประเทศไทย ร่วมรณรงค์ด้วย

3 ธีม ลงมือทำให้ดีขึ้น

“พิชัย จิราธิวัฒน์” กรรมการบริหาร กลุ่มเซ็นทรัล กล่าวว่า กลุ่มเซ็นทรัลจริงจังในการขับเคลื่อนนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม และระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน (circular economy) ด้วยการลงมือทำผ่านการดำเนินโครงการและการดำเนินธุรกิจต่าง ๆ ของบริษัทในเครือ ได้แก่ เซ็นทรัลรีเทล เซ็นทรัลพัฒนา และเซ็นทารา สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) ขององค์กรสหประชาชาติ ผ่าน 3 ธีมหลัก คือ

1) Better Living ปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิตสู่วิถีการบริโภคอย่างยั่งยืน

เริ่มต้นที่ตนเอง อาทิ การคัดแยกขยะอย่างถูกวิธี และนำขวดพลาสกติก ขวดแก้ว กระป๋อง ฯลฯ กลับเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิล รวมถึงการคัดแยกขยะอาหาร เพื่อเข้าถังหมักย่อยสลายทำปุ๋ยชีวภาพ

เลือกบริโภคอาหาร ผัก ผลไม้ ที่ผลิตอย่างยั่งยืน เช่น ผักผลไม้เกษตรอินทรีย์ ผลผลิตทางการเกษตรที่ปลูกในท้องถิ่น ผักผลไม้ตามฤดูกาล สินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) และเมนูพื้นถิ่น ใช้พลังงานไฟฟ้าสะอาดจากโซลาร์เซลล์ และใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV)

รักษาความอุดมสมบูรณ์และความหลากหลายทางชีวภาพ ด้วยการปลูกต้นไม้ตามวาระโอกาสสำคัญ เช่น ปลูกต้นไม้ประจำวันเกิด การมอบต้นไม้เป็นของขวัญให้กับบุคคลอันเป็นที่รัก รวมทั้งร่วมส่งเสริมการอนุรักษ์พันธุ์ไม้และพื้นที่สีเขียวผ่านกิจกรรมต่าง ๆ กับกรมอุทยานหรือหน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อม

ปลูกป่ากับโครงการชวนปลูก (Plant Together) ในวันสำคัญต่าง ๆ ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ เพื่อเพิ่มความสะดวกให้กับทุกคน โดยสามารถตรวจสอบพันธุ์ไม้ สถานะการปลูก จุดที่ปลูกและติดตามการเติบโตของต้นไม้ในพื้นที่ต่าง ๆ ได้

สนับสนุนสินค้าที่ใช้วัสดุรีไซเคิล สินค้า up-cycling และการใช้ซ้ำ re-use หาแรงบันดาลใจในการรักษาสิ่งแวดล้อมด้วยการเดินชมนิทรรศการเกี่ยวกับการอนุรักษ์ป่าไม้ การนำขยะกลับมารีไซเคิลใหม่ เช่น นิทรรศการศิลปะสื่อผสมจากวัสดุรีไซเคิล สะท้อนสิ่งแวดล้อม

2) Better Shopping ช้อปปิ้งแบบรักษ์โลกง่าย ๆ ด้วยการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สนับสนุนสินค้าพื้นถิ่น วางแผนการช้อปปิ้งล่วงหน้าและซื้อเท่าที่จำเป็น อาทิ

เลือกผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สนับสนุนสินค้าชุมชน สนับสนุนเศรษฐกิจท้องถิ่น ร่วมกิจกรรม Say No to Plastic Bags ของกลุ่มเซ็นทรัล โดยนำถุงผ้ามาใช้ช้อปปิ้ง และใช้ซ้ำให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ รับประทานอาหารแต่พอดี ไม่มีเหลือทิ้ง และเปลี่ยนมาใช้ระบบขนส่งสาธารณะ หรือเดินทางเป็นกลุ่มด้วยรถคันเดียวกัน (carpool)

3) Better Travelling ชวนท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน แบบฉบับ Green Tourism ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการท่องเที่ยวอย่างมีความรับผิดชอบและลดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม

สนับสนุนการท่องเที่ยวชุมชน ส่งเสริมอัตลักษณ์ท้องถิ่น ทั้งแหล่งท่องเที่ยว ศิลปะวัฒนธรรม ประเพณี และความเชื่อ สร้างประสบการณ์ท่องเที่ยวเชิงนิเวศ เยี่ยมชมเส้นทางธรรมชาติและทำกิจกรรมอนุรักษ์ไปพร้อมกัน เพื่อปกป้องรักษาความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพ

สนับสนุนสินค้าและบริการในชุมชน เยี่ยมชมงานหรือนิทรรศการท้องถิ่น และบอกต่อแหล่งท่องเที่ยวสุดประทับใจ ด้วยการแชร์คอนเทนต์ผ่านสื่อออนไลน์

เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน

“ธันณี ศรีสกุลไชยรัก” เจ้าหน้าที่วิชาการ โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติสำนักภาคพื้นเอเชียและแปซิฟิก กล่าวว่า ทุกคนอยู่ร่วมกันในโลกใบเดียว ทำให้คิดว่าจะอยู่ร่วมกันได้อย่างไร ด้วยความรู้และเทคโนโลยีที่ก้าวไกลทำให้มีทางเลือกมากขึ้นในการตัดสินใจที่จะบริโภคและผลิตอย่างไรให้โลกใบนี้คงความอุดมสมบูรณ์ไปนาน ๆ การสื่อสารเป็นเครื่องมือที่สำคัญมากที่จะช่วยทำ ให้ทุกคนทุกฝ่ายตระหนักถึงปัญหา และคิดหาทางออกร่วมกันว่าจะดูแลโลกใบเดียวของเราอย่างไร เพื่อปัจจุบันและอนาคตที่ยั่งยืน

“อเล็กซ์ เรนเดลล์” ทูตสันถวไมตรีโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP) ประจำประเทศไทย กล่าวว่า ปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นสิ่งใกล้ตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิกฤตการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ (climate change) ที่เกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตประจำวันของทุกคนอย่างมาก และยังกระทบกับการประกอบอาชีพของเกษตรกร ไม่สามารถผลิตผลผลิตได้ตามฤดูกาล แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะเป็นภัยคุกคามที่รุนแรงขึ้นในปัจจุบัน แต่การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพทั้งบนบกและมนทะเลก็ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศในวงกว้างไม่แตกต่างกัน

“เป้าหมาย SDGs ทั้ง 17 เป้าหมาย เพื่อร่วมกันทำให้โลกดีขึ้นภายในปี 2573 เหลือเวลาอีก 8 ปีเท่านั้นดังนั้น ขอให้ทุกคนร่วมลงมือทำตอนนี้ (act now) มีส่วนร่วมโดยสามารถเริ่มจากจุดเล็ก ๆ หรือเลือก 1 ใน 17 เป้าหมายมาปฏิบัติก็ได้ ชอบข้อไหนเลือกลงมือทำเพื่อสร้าความยั่งยืน”

“พลาย ภิรมย์” ผู้จัดการโครงการเสริมสร้างการบริโภคและผลิตที่ยั่งยืน WWF-ประเทศไทย กล่าวว่า รูปแบบการใช้ชีวิต การบริโภค และผลิต สร้างผลกระทบกับโลกใบนี้ ดังนั้น ควรจะนำรุปแบบการ circular economy เป็นแนวทางการทำธุรกิจ และการใช้ชีวิต เพื่อประหยัดทรัพยากรธรรมชาติ ก็จะเท่ากับว่าทุกคนสามารถช่วยโลกได้ ซึ่งภาคธุรกิจเป็นส่วนสำคัญ ในการสร้างอิมแพ็ค และความตระหนัก เพราะมีศักยภาพและเป็นศูนย์กลางในสังคม

“เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน SDGs ข้อ 12 การสร้างหลักประกันให้มีรูปแบบการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน (ensure sustainable consumption and production patterns) มีเป้าประสงค์ที่ครอบคลุมประเด็น การจัดการและการใช้ทรัพยากรธรรมธรรมชาติอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน เป็นเพียงข้อเดียวที่เป็นเป้าหมายในการเปลี่ยนพฤติกรรม ดังนั้น หากทำข้อนี้ได้ เปลี่ยนพฤติกรรมได้ จะสามารถบรรลุอีก 16 ข้อได้ทั้งหมด”

(จากซ้ายไปขวา) อุทัยวรรณ อนุชิตานุกูล, นิชธ์นาวิน จุลละพราหมณ์ และ ชุลีกร ทองเผือก

เครือเซ็นทรัลผนึกกำลัง เลิฟ ดิ เอิร์ธ

“อุทัยวรรณ อนุชิตานุกูล” ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายบริหารความเป็นเลิศและการพัฒนาที่ยั่งยืน บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) CPN กล่าวว่า เซ็นทรัลพัฒนามุ่งสร้างอนาคตที่ดีที่มาจากการร่วมมือของทุกคน สร้างพื้นที่ให้เป็นศูนย์กลางใช้ชีวิตที่มีคุณภาพ มีชีวิตที่ดี สุขภาพและสิ่งแวดล้อมที่ดี

โครงการต่าง ๆ ของเซ็นทรัลพัฒนา ได้แก่

– ร่วมมือพัฒนานวัตกรรมด้านการจัดการพลังงาน และสิ่งแวดล้อม สู่การยกระดับศูนย์การค้า สู่มาตรฐานอาคารเขียวระดับสากล หรือ LEED (Leadership in Energy and Environmental Design) ได้แก่ เซ็นทรัลเวิลด์ และโครงการในอนาคต

– พัฒนาอาคารประหยัดพลังงาน MEA (การไฟฟ้านครหลวง) จำนวน 10 แห่ง

– ได้รับรางวัล Thailand Energy Award และ ASEAN Energy Awards กว่า 27 สาขา

– ใช้พลังงานสะอาดและใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การใช้โซลาร์เซลล์ในศูนย์การค้า ปัจจุบัน 17 สาขา ผลิตได้ 16 MW โดยตั้งเป้าจะติดตั้งให้ได้ทุกสาขา ตั้งเป้าผลิตพลังงานสะอาดเทียบเท่ากำลังผลิตพลังโซลาร์เซลล์จากเขื่อนสิรินธร (45 MW per day)

– ตั้งเป้าเป็นองค์กร Mixed-use Developer รายแรกสู่ Net Zero ภายในปี 2050 ด้วยแผนระยะยาวตั้งเป็น Net Zero Carbon Emission ผ่านการลดการใช้พลังงาน 50% ลดการใช้ CFC และสารที่ทำลายชั้นบรรยากาศ และส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดหรือ Clean Energy อีก 50% นอกจากนี้เรายังตั้งเป้าปลูกต้นไม้เพิ่มพื้นที่สีเขียวทั้งภายในและภายนอกโครงการให้ได้ถึง 1 ล้านต้นโดยเร็วอีกด้วย

“ชุลีกร ทองเผือก” CSR and Sustainable Development Manager บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การสร้างความยั่งยืนเริ่มจากพนักงานในองค์กรก่อน ทำให้พนักงานได้รับความรู้การดูแลสิ่งแวดล้อม บริษัทตั้งเป้าว่า ภายในปี 2030 จะลดทุกอย่างลง 20% ทั้งการใช้ไฟ การใช้น้ำ การจัดการขยะลดขยะไปหลุมฝังกลบ โดยการแยกขยะ 10 ประเภท เพื่อเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิล

โครงการต่าง ๆ ของเซ็นทรัลพัฒนา ได้แก่

– Centara Reserve Samui เปิดตัวในคอนเซ็ปต์ Plastic-Free Resort ลดการใช้พลาสติกแบบ single use, สปาออร์แกนิก โดยเฉพาะ Fresh Garden Therapy ที่ลูกค้าสามารถเลือกส่วนผสมของทรีตเมนต์ได้เองจากสวนสมุนไพรของรีสอร์ต โดยเดินไปเก็บเองจากสวนสมุนไพร พร้อมกับเรียนรู้เรื่องสมุนไพรไทย อีกทั้งสวนสมุนไพรออร์แกนิกนี้ยังเป็นแหล่งวัตถุดิบสำหรับใช้ปรุงในห้องอาหารของรีสอร์ตด้วย

– โครงการ Going Greener เชิญชวนลูกค้าใช้ผ้าเช็ดตัวและผ้าปูที่นอนซ้ำ เพื่อลดการใช้น้ำและสารเคมีในการซักและทำความสะอาด รวมถึงโครงการ My Green Day ให้ลูกค้าที่เข้าพักมากกว่า 1 คืน ร่วมโครงการโดยแสดงความประสงค์ไม่ต้องการทำความสะอาดห้องพักเพื่อลดการใช้ทรัพยากรต่าง ๆ

– โครงการคัดแยกขยะเพื่อนำไปรีไซเคิล เพื่อลดปริมาณขยะที่ส่งไปหลุมฝังกลบ ช่วยลดปริมาณก๊าซเรือนกระจก

– โครงการลดการสูญเสียอาหาร (food loss) จัดทำครัวกลางในการจัดการวัตถุดิบของทุกห้องอาหาร เพื่อลดการสูญเสียและประหยัดค่าใช้จ่าย

– การจัดการอาหารเหลือที่ยังรับประทานได้ (surplus food) โดยบริจาคให้กับ SOS Thailand เพื่อช่วยเหลือผู้ยากไร้

– ขยะอาหารและขยะอินทรีย์ (organic waste) นำไปทำปุ๋ยหมัก และก๊าซชีวภาพ โดยปุ๋ยหมักแบ่งใช้ในพื้นที่สวนของโรงแรมพร้อมยังแจกจ่ายให้กับลูกค้าและชุมชนใกล้เคียง ส่วนก๊าซชีวภาพนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงในการทำอาหาร

– การรีไซเคิลขยะอื่น ๆ เช่น น้ำมันใช้แล้ว นำไปทำไบโอดีเซล, พลาสติกกำพร้านำส่งไปเปลี่ยนเป็นน้ำมันใช้ผลิตเชื้อเพลิง (advanced bio-oil)

“นิชธ์นาวิน จุลละพราหมณ์” Head of CSV บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) พูดถึงโครงการที่เซ็นทรัล รีเทลลงมือทำว่าประกอบด้วย

– การซื้อตรงผลผลิตทางการเกษตรจากเกษตรกรและชุมชน เพื่อจำหน่ายภายในจังหวัด ช่วยลดการสูญเสียและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการขนส่ง

– จำหน่ายสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สินค้าชุมชน สินค้า up-cycling วัสดุจากธรรมชาติ และรีไซเคิล

– โครงการส่งเสริมสินค้าเกษตรอินทรีย์ (organic) และสินค้า OTOP ที่มีคุณภาพ ปลอดภัยป็น ประโยชน์ต่อสุขภาพ ปลอดการใช้สารเคมีและได้รับรองมาตรฐาน ตลอดจนกระบวนการผลิตที่ไม่ส่งผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม

– ออกแคมเปญ Say No to Plastic Bags งดแจกถุงพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง เชิญชวนลูกค้านำถุงผ้ามาใช้ในการช้อปปิ้งและสนับสนุนการใช้ซ้ำ

– นำอาหารส่วนเกินไปบริจาคให้กับชุมชนผู้เปราะบาง และนำขยะอาหารไปหมักย่อยสลายผลิตเป็นปุ๋ยและก๊าซชีวภาพ

– เปิด จริงใจ Farmers’ Market 27 สาขา ให้เกษตรกรในท้องถิ่นได้มีพื้นที่จำหน่ายสินค้าปลอดภัย ปลอดสารพิษ และเกษตรอินทรีย์ เพื่อสร้างรายได้รวม 220 ล้านบาท

– โครงการติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์บนหลังคา โดยในปี 2564 สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 30.02 ตัน คาร์บอนไดออกไซด์ และลดการใช้พลังงานที่มาจากแหล่งเชื้อเพลิงฟอสซิลในปริมาณ 51,566 เมกะวัตต์ชั่วโมง (MWh)

โครงการลดการใช้พลังงาน โดยนำนวัตกรรมระบบทำความเย็นเพื่อลดคาร์บอนฟุตพรินต์ และลดการสูญเสียพลังงานโดยไม่จำเป็น สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกปริมาณ 10,237.52 ตันคาร์บอนไดออกไซด์

– บริจาคเงินให้โครงการต่าง ๆ ผ่าน มูลนิธิสิ่งแวดล้อม เพื่อนำเงินไปสนับสนุนกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อม เช่น การปลูกป่าและสร้างงานสร้างอาชีพให้เกษตรกรในชุมชน

– ใช้รถ EV Trucks รถบรรทุกไฟฟ้าพลังงานสะอาด จำนวน 6 คัน ทดลองวิ่งใน 21 สาขา ซึ่งรถจำนวน 1 คัน สามารถวิ่งได้ระยะทางถึง 400 กิโลเมตรต่อการชาร์จ 1 ครั้ง คิดเป็นมูลค่า 3 บาท ต่อ 1 กิโลเมตร ซึ่งสามารถลดค่าใช้จ่ายในการใช้พลังงานจากเดิมที่เป็นพลังงานดีเซลได้ถึง 50% ตั้งเป้าการเพิ่มรถบรรทุกพลังงานสะอาด กว่า 50% รวมจำนวน 30 คัน ในปี 2566 ลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ เทียบเท่าการปลูกต้นไม้กว่า 200 ต้น ต่อปี