ทำความรู้จัก 10 ผู้หญิงอเมริกันที่สร้างเนื้อสร้างตัวร่ำรวยระดับมหาเศรษฐี

ศิรินภา นรินทร์ : เรื่อง

ในปัจจุบันผู้หญิงก้าวขึ้นมามีบทบาทในแวดวงธุรกิจมากขึ้น ทั้งการเป็นเจ้าของกิจการ การสร้างธุรกิจของตัวเองให้เติบโต การเป็นผู้บริหารองค์กรชั้นนำ พูดได้ว่าผู้หญิงยุคนี้มีความรู้ความสามารถไม่แพ้ผู้ชาย หลายคนประสบความสำเร็จในแบบของตัวเองจนขึ้นแท่นเศรษฐีระดับประเทศไปจนถึงระดับโลก

เมื่อเร็ว ๆ นี้ นิตยสารฟอร์บส (Forbes) ได้จัดอันดับผู้หญิงอเมริกัน 100 คนที่สร้างเนื้อสร้างตัวจนร่ำรวย ซึ่งมีนักธุรกิจคนดังมากมายติดอยู่ในลิสต์นี้

ด้วยปรากฏการณ์อันน่าสนใจที่ผู้หญิงกำลังทะยานในโลกธุรกิจ สามารถพาตัวเองร่ำรวยขึ้นเรื่อย ๆ “ดีไลฟ์-ประชาชาติธุรกิจ” จึงอยากชวนทำความรู้จักกับผู้หญิงชาวอเมริกันที่สร้างธุรกิจขึ้นมาด้วยตนเองจนประสบความสำเร็จ ซึ่งเราได้คัดเลือกมา 10 คน ที่น่าสนใจในปีนี้

Judy Faulkner

จูดี้ ฟอล์กเนอร์ (Judy Faulkner) เป็นโปรแกรมเมอร์ เป็นผู้ก่อตั้งและเป็นประธานกรรมการบริหาร บริษัท Epic Systems บริษัทพัฒนาซอฟต์แวร์ระบบเวชระเบียนในโรงพยาบาล เธอถูกจัดให้อยู่ในอันดับ 2 ด้วยมูลค่าทรัพย์สิน 5.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

ฟอล์กเนอร์เริ่มต้นธุรกิจในปี 1979 ด้วยเงิน 70,000 ดอลลาร์สหรัฐ ที่ห้องใต้ดินของอพาร์ตเมนต์ในรัฐวิสคอนซิน และมีผู้ช่วยที่เป็นพนักงานพาร์ตไทม์เพียงสองคน ในตอนแรกใช้ชื่อบริษัทว่า Human Services Computing

ปัจจุบันซอฟต์แวร์ของบริษัท Epic Systems รองรับเวชระเบียนผู้ป่วยกว่า 250 ล้านคน และถูกใช้ในศูนย์การแพทย์ชั้นนำ เช่น จอห์น ฮอปกินส์ (Johns Hopkins) คลีฟแลนด์ คลินิก (Cleveland Clinic) และเมโย คลินิก (Mayo Clinic) เป็นต้น ข้อมูลระบุว่า ปี 2019 บริษัทมีรายได้ 3.2 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทไม่เคยระดมทุนหรือเข้าซื้อกิจการใด ๆ เมื่อปี 2015 ฟอล์กเนอร์ได้ให้คำมั่นสัญญากับโครงการ The Giving Pledge ว่า จะมอบหุ้น 99% ของเธอให้กับมูลนิธิการกุศล

 

Photo by Robyn Beck / AFP

Sara Blakely

ซาร่า เบลกลี่ (Sara Blakely) ผู้ก่อตั้งและเป็นเจ้าของแบรนด์สแปงซ์ (Spanx) แบรนด์ชุดชั้นใน เลกกิ้ง ชุดว่ายน้ำ และชุดคลุมท้อง ที่มีสาขากว่า 50 ประเทศทั่วโลก ได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในอันดับที่ 32 ด้วยมูลค่าทรัพย์สิน 610 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

จากพนักงานขายเครื่องแฟกซ์ที่เดินเคาะประตูตามบ้าน แต่เมื่อวันหนึ่งเบลกลี่ต้องใส่กางเกงสีขาวและต้องการกางเกงในที่ใส่แล้วไม่เห็นขอบ เธอแก้ปัญหาโดยการตัดปลายของถุงน่องทั้งสองข้างออกแล้วสวมใส่แทนกางเกงใน จึงเป็นจุดเริ่มต้นของแบรนด์

เบลกลี่สร้างแบรนด์ด้วยเงินเก็บจำนวน 5,000 ดอลลาร์สหรัฐ โดยไม่มีผู้ร่วมลงทุน สินค้าของเธอได้วางจำหน่ายในห้างหรู อย่าง Neiman Marcus หลายสาขา อีกทั้งเป็นแบรนด์ที่เหล่าคนดังชื่นชอบด้วย

 

Photo by Isabel Infantes / AFP

Rihanna

รีอานนา (Rihanna) นักร้องสาวที่ประสบความสำเร็จกับสายงานด้านดนตรี และยังประสบความสำเร็จในวงการธุรกิจกับการเป็นเจ้าของแบรนด์เครื่องสำอางเฟนตี้ บิวตี้ Fenty Beauty ซึ่งทำให้เธอได้เข้ามาอยู่ในการจัดอันดับนี้เป็นปีแรก โดยพุ่งขึ้นมาอยู่ในอันดับที่ 33 กับมูลค่าทรัพย์สิน 600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

เฟนตี้ บิวตี้ เป็นแบรนด์เครื่องสำอางที่รีอานนาร่วมมือกับแอลวีเอ็มเอช (LVMH) บริษัทแฟชั่นลักเซอรี่ของฝรั่งเศส แบรนด์นี้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในปี 2017 พร้อมสร้างความฮือฮาด้วยการออกผลิตภัณฑ์รองพื้นทั้งหมด 40 เฉด เพื่อผู้หญิงทุกสีผิว
นอกจากนี้ รีอานนายังเป็นเจ้าของแบรนด์ชุดชั้นใน Savage X Fenty ร่วมกับบริษัทแฟชั่นออนไลน์ที่ชื่อ TechStyle Fashion Group ด้วย

 

Photo by ANGELA WEISS / AFP

Whitney Wolfe Herd

วิตนีย์ วูล์ฟ เฮิร์ด (Whitney Wolfe Herd) ผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการบริหาร บัมเบิล (Bumble) แอปพลิเคชั่นหาคู่ที่ให้ผู้หญิงเป็นฝ่ายเริ่มจีบก่อน ได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในอันดับที่ 39 กับมูลค่าทรัพย์สิน 575 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

บัมเบิลก่อตั้งขึ้นในเดือนธันวาคม ปี 2014 โดยได้รับเงินสนับสนุนจากแอนเดรย์ แอนดรีฟ (Andrey Andreev) มหาเศรษฐีชาวรัสเซีย ปี 2018 บริษัทมีรายได้ 162 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2019 แอนดรีฟในฐานะผู้ถือหุ้นรายใหญ่ได้ขายหุ้นของเขาให้กับบริษัทหลักทรัพย์เอกชน Blackstone ในราคา 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และบริษัทกำลังมองหาแหล่งเงินทุน โดยจะทำการเปิดขายหุ้น IPO ในปี 2021

 

Anastasia Soare

อนาสตาเซีย โซอาเร (Anastasia Soare) สร้างชื่อเสียงจากการจัดแต่งคิ้วให้กับเหล่าคนดังและมหาเศรษฐีหลายคน จนได้รับฉายาว่าเป็นเจ้าแม่แห่งการจัดแต่งทรงคิ้ว และมีผลิตภัณฑ์เขียนคิ้วเป็นของตัวเองภายใต้ชื่ออนาสตาเซีย เบเวอร์ลี่ ฮิลส์ (Anastasia Beverly Hills) เธอถูกจัดให้อยู่ในอันดับที่ 41 กับมูลค่าทรัพย์สิน 540 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

อนาสตาเซียเกิดและเติบโตในโรมาเนียในปี 1998 ขณะอายุ 32 เธออพยพมาที่ลอสแองเจลิส และได้เริ่มทำงานในร้านเสริมสวย ก่อนจะเปิดตัวแบรนด์ของตัวเองในปี 2000

ในปี 2018 บริษัทของเธอได้รับทุนสนับสนุนจากบริษัท TPG มูลค่า 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่เมื่อเดือนเมษายน 2020 ฟิตช์ เรตติ้งส์ (Fitch Ratings) คาดการณ์ว่าในปีนี้รายได้จะลดลง 30% เนื่องจากโครงสร้างเงินทุนของบริษัท และภาระหนี้

 

Anne Wojcicki

แอนน์ โวจซิกกี้ (Anne Wojcicki) เป็นผู้ร่วมก่อตั้งและเป็นประธานกรรมการบริหารของบริษัท 23andMe ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยพันธุกรรมที่ทำการวิเคราะห์ DNA จากน้ำลาย ตั้งอยู่ในเมืองเมาน์เทนวิว รัฐแคลิฟอร์เนีย เธอถูกจัดให้อยู่อันดับที่ 49 มีมูลค่าทรัพย์สิน 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

โวจซิกกี้เคยเป็นอดีตนักวิเคราะห์ของ Wall Street หลังจากลาออกเธอได้ร่วมมือกับลินดา อเวย์ (Linda Avey) และพอล คัสเซนซ่า (Paul Cusenza) ก่อตั้งบริษัทขึ้นในปี 2006 ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยพันธุกรรมเพียงรายเดียวที่ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA) ว่า สามารถทดสอบโรคอัลไซเมอร์และพาร์กินสันได้ในปี 2018 บริษัทได้รับเงินทุนสนับสนุนจาก GSK (GlaxoSmithKline) จำนวน 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อร่วมพัฒนายา

ขณะนี้ 23andMe อยู่ระหว่างการคิดค้นยาตัวใหม่ ซึ่งมีการประเมินมูลค่าอยู่ที่ 2.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยได้รับการสนับสนุนจาก Google ร่วมกับเซอร์เกย์ บริน (Sergey Brin) อดีตสามีของโวจซิกกี้

 

Katrina Lake

คาทรีนา เลก (Katrina Lake) เป็นผู้ก่อตั้งและเป็นประธานกรรมการบริหารของ Stitch Fix เว็บไซต์ช็อปปิ้งออนไลน์ที่นำเทคโนโลยี AI มาใช้ในการวิเคราะห์เสื้อผ้าให้เหมาะกับสไตล์ของผู้บริโภคแต่ละคน ซึ่งทำให้ธุรกิจของเธอแตกต่างจากธุรกิจช็อปปิ้งออนไลน์เจ้าอื่น จากการจัดอันดับเลกอยู่ในอันดับที่ 64 มีมูลค่าทรัพย์สินรวม 360 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

เลกเริ่มธุรกิจขึ้นในอพาร์ตเมนต์ของเธอที่เคมบริดจ์ในปี 2011 ขณะที่เธอจบ MBA จากฮาร์วาร์ด ต่อมาในปี 2017 เลกได้กลายเป็นผู้บริหารหญิงที่อายุน้อยที่สุด (ด้วยวัย 34 ปี) ที่นำบริษัทเข้าตลาดหุ้นและเปิดขายหุ้น IPO จากข้อมูลในปี 2019 Stitch Fix มีผู้ใช้งานกว่า 3 ล้านคน และสร้างรายได้ถึง 1.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

 

Sonia Gardner

ซอนย่า การ์ดเนอร์ (Sonia Gardner) เป็นผู้ร่วมก่อตั้งและเป็นประธานบริษัทด้านการลงทุน Avenue Capital ที่เน้นลงทุนในหนี้ด้อยคุณภาพและการลงทุนในสถานการณ์พิเศษอื่น ๆ ทั้งในสหรัฐอเมริกา ยุโรป และเอเชีย เธอถูกจัดให้อยู่ในอันดับที่ 65 ด้วยมูลค่าทรัพย์สิน 330 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

การ์ดเนอร์เริ่มทำงานที่แผนกปรับโครงสร้างองค์กรของสถาบันการเงิน Cowen & Co. ก่อนจะตั้งบริษัทร่วมกับพี่ชาย มาร์ก ลาสรี่ (Marc Lasry) ในปี 1995 โดยมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในนิวยอร์ก สำนักงานในทวีปยุโรป 3 แห่ง และทวีปเอเชีย 5 แห่ง ข้อมูล ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2020 บริษัทมีมูลค่าทรัพย์สินในการดูแลจัดการ 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

 

Toni Ko

โทนี โก (Toni Ko) ผู้ก่อตั้งแบรนด์เครื่องสำอาง NYX แบรนด์ที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดด้วยพลังการรีวิวของบิวตี้บล็อกเกอร์ในยูทูบจนเป็นกระแสอยู่พักใหญ่ เธอถูกจัดให้อยู่ในอันดับที่ 78 กับมูลค่าทรัพย์สิน 255 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ครอบครัวของโทนี โก เป็นชาวเกาหลีที่อพยพมาอยู่ทีรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ในปี 1986 ขณะที่เธออายุ 13 ปี ต่อมาเมื่ออายุ 25 ปี เธอได้เริ่มต้นทำธุรกิจเครื่องสำอางด้วยเงินทุนจากพ่อแม่จำนวน 250,000 ดอลลาร์สหรัฐ สินค้าแรกที่ทำออกมาจำหน่าย คือ ดินสอเขียนขอบตาและดินสอเขียนขอบปาก โดนขายในราคา 1.99 ดอลลาร์สหรัฐ

ในปี 2014 ลอรีอัล (L’Oreal) ได้เข้ามาซื้อแบรนด์ NYX ในราคา 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แม้เธอจะขายแบรนด์ไปแล้ว แต่ก็ยังมีธุรกิจอื่นอย่างการทำแบรนด์แว่นกันแดด Thomas James LA รวมถึงการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์

 

Kris Jenner

คริส เจนเนอร์ (Kris Jenner) จากอดีตแอร์โฮสเตสสู่บทบาทคุณแม่และผู้จัดการธุรกิจในอาณาจักรคาร์ดาเชี่ยน-เจนเนอร์ ถูกจัดให้อยู่ในอันดับ 92 ด้วยมูลค่าทรัพย์สิน 190 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

คริสเริ่มต้นการสร้างรายได้ให้กับครอบครัว โดยการทำเรียลิตี้โชว์ตามติดชีวิตเธอและครอบครัว จนเกิดเป็นรายการ Keeping Up With the Kardashians ในปี 2007 ซึ่งมีรายได้ต่อตอนอยู่ที่ 1 แสนดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนั้นคริสยังได้รับเงิน 10% จากการเป็นผู้จัดการและปิดดีลต่าง ๆ ให้กับลูก ๆ ซึ่งล้วนเป็นเซเลบริตี้ นอกจากนั้นเธอยังมีรายได้จากการเขียนหนังสือเกี่ยวกับการทำอาหารและหนังสืออัตชีวประวัติของตัวเองด้วย