พาณิชย์ปลื้ม! ยอดใช้จ่ายผ่านร้านธงฟ้าฯทะลุ 6.4 หมื่นล้านบาท

กรมการค้าภายในเผยยอดใช้จ่ายเงินสวัสดิการแห่งรัฐ ผ่านร้านค้าธงฟ้าประชารัฐล่าสุด ทะลุ 6.4 หมื่นล้านบาท ปลื้มยอดเงินกว่าครึ่งของที่ใช้จ่าย เป็นการซื้อสินค้าเกษตรและสินค้าชุมชน ทำให้เงินกระจายลงลึกถึงระดับฐานราก ทำให้ร้านค้ารายเล็ก ร้านค้าในชุมชน มีรายได้เพิ่มขึ้น

นายวิชัย โภชนกิจ อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า กรมฯ ได้ติดตามยอดการใช้จ่ายเงินสวัสดิการแห่งรัฐ ผ่านร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ ทั้งร้านแบบติดตั้งเครื่องรับชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ (EDC) และแบบใช้แอปพลิเคชัน “ถุงเงินประชารัฐ” ที่มีอยู่จำนวน 60,873 ร้านค้า โดยมีสถิติล่าสุดตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2561 ถึง 26 พ.ค.2562 มียอดรวมทั้งสิ้น 64,775.99 ล้านบาท แบ่งเป็นการใช้จ่ายผ่านร้านค้าที่ติดตั้งเครื่อง EDC รวม 61,973.92 ล้านบาท และร้านค้าที่ติดตั้งแอปพลิเคชันรวม 2,402.65 ล้านบาท

“ยอดใช้จ่ายของผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ผ่านร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ ตั้งแต่เปิดโคงรการจนถึงปัจจุบัน รวมแล้วประมาณ 20 เดือน มีวงเงินใช้จ่ายเฉลี่ยเดือนละกว่า 3,200 ล้านบาท ซึ่งเม็ดเงินเหล่านี้ได้กระจายลงลึกถึงระดับฐานราก ทำให้ร้านค้าในชุมชน มีรายได้เพิ่มขึ้น ร้านค้ามีความเข้มแข็ง และยังเป็นที่พึ่งของคนในชุมชน เป็นที่พึ่งของผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่สามารถมาเลือกซื้อสินค้าราคาถูกกว่าท้องตลาดได้”

ร้านค้าธงฟ้าประชารัฐยังมีส่วนช่วยเพิ่มช่องทางการจำหน่ายให้กับเกษตรกร ผู้ผลิตสินค้าในชุมชน โดยปัจจุบันสินค้าที่จำหน่ายในร้านค้าธงฟ้าประชารัฐกว่าครึ่งหนึ่งเป็นสินค้าจากเกษตรกรและผู้ผลิตสินค้าชุมชน หากคิดเป็นมูลค่าการจับจ่ายผ่านร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ จะมีเม็ดเงินประมาณ 3.2 หมื่นล้านบาท ที่เข้าไปช่วยเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรและผู้ผลิตสินค้าชุมชน เป็นการช่วยสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจในระดับฐานรากได้เป็นอย่างดี

ทั้งนี้ ที่ผ่านมา กรมฯ ยังได้เข้าไปช่วยเหลือร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ โดยจัดกิจกรรมและเชื่อมโยงการยกระดับเครือข่ายร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ โดยจัดให้มีการอบรมร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ และเชื่อมโยงระหว่างเกษตรกร ผู้ผลิตสินค้าชุมชน กับร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ เพื่อสร้างโอกาสในการขายสินค้าให้กับเกษตรกรและผู้ผลิตสินค้าชุมชน และเพิ่มความหลากหลายของสินค้าที่มีวางจำหน่ายในร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ ซึ่งได้จัดระดับภาคไปแล้ว ที่ภาคเหนือ ที่จ.พิษณุโลก ภาคกลาง จ.ชลบุรี และกำลังจัดที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่ จ.ขอนแก่น ภาคใต้ จ.สงขลา

“กรมฯ มั่นใจว่า ร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ จะเป็นร้านทางเลือกที่จำหน่ายสินค้าราคาถูกกว่าท้องตลาดให้กับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และประชาชนทั่วไป เพราะมีจุดเด่นที่ร้านค้าปลีกค้าส่งสมัยใหม่ หรือร้านสะดวกซื้อไม่มี ก็คือ ความเป็นชุมชน การเป็นเพื่อนบ้าน และยังมีสินค้าจากเกษตรกร สินค้าชุมชน สินค้าข้ามภาค มาจำหน่าย โดยกรมฯ เชื่อว่ายอดการใช้จ่ายของผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐผ่านร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ จะขยายตัวเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่องต่อไป”

สำหรับการดูแลราคาเนื้อหมู นายวิชัย กล่าวอีกว่า กรมยังจะเสนอน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งออกมาตรการห้ามนำเข้าเนื้อหมูและผลิตภัณฑ์แปรรูปจากหมูอย่างเข้มงวดเพื่อป้องกันไม่ให้มีการนำเข้าสินค้าดังกล่าวจากประเทศเพื่อนบ้าน เนื่องจากสถานการณ์โรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (ASF) ได้ระบาดในหลายประเทศโดยเฉพาะจีน ฮ่องกง และประเทศเพื่อนบ้าน เวียดนาม หากมีการระบาดเข้ามาในประเทศไทยจะกระทบราคาผู้บริโภคต้องซื้อเนื้อหมูในราคาแพงมาก หรือประมาณ 300 บาท/ก.ก. และ อาจจะส่งผลกระทบไปยังต้นทุนร้านอาหารตามสั่ง ก๋วยเตี๋ยว ที่มีส่วนประกอบของเนื้อหมูต้องปรับราคาเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

“ที่น่าห่วงคือเนื้อหมูแปรรูป เช่น กุนเชียง แหนม ที่หิ้วมาจากการไปท่องเที่ยวในประเทศต้นทางและเพื่อนบ้านมาบริโภคในไทย หรือซื้อฝากญาติพี่น้อง เพราะการแปรรูปบางอย่างไม่สามารถทำลายโรค ASF ได้ มากกว่านั้นคือทั้งหมดจะกระทบทั้งห่วงโซ่ที่สำคัญจะทำให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และมันสำปะหลัง ได้รับความเดือดร้อนเพราะพืชเกษตรทั้งสองเป็นวัตถุดิบที่สำคัญในการผลิตอาหารหมูด้วย”

สำหรับ สถานการณ์ราคาสินค้าเกษตร อาทิ มันสำปะหลัง กรมยังคงต้องเฝ้าระวังปัญหาการระบาดของโรคใบด่างในไร่มันสำปะหลังร่วมกับกระทรวงเกษตรฯอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันความเสียหายโดยจะควบคุมดูแลการนำเข้าท่อนพันธุ์ และหัวมันสำปะหลังที่ด่านนำเข้าและจะต้องตรวจสอบโรคพืชอย่างละเอียด รวมถึงตรวจสอบการลักลอบนำเข้าข้าวเหนียวจากประเทศเพื่อนบ้าน ขณะที่ความคืบหน้าการแก้ปัญหาราคาปาล์ม การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) รับซื้อน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) ปริมาณรวม 1.6 แสนตันเพื่อไปผลิตกระแสไฟฟ้า ตามแผนที่ต้องการให้สต็อกที่มีอยู่เฉลี่ย 3.5 แสนตัน ขณะนี้สต๊อกลดลงเหลือ 2.5 แสนตัน ซึ่งเป็นปริมาณที่เหมาะสม แต่เกษตรกรยังขายได้ราคาต่ำกว่าที่ควรจะได้อยู่ที่ 3.50 บาท/กก. ดังนั้นจะประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป