ฝ่าวิกฤตดันส่งออกครึ่งปีหลัง เอกชนรุกตลาดอาหารฮาลาล

แฟ้มภาพ

ส่งออกอาหารครึ่งปีหลังมุ่งตลาดฮาลาล รักษาตลาดเดิมพร้อมเสนอรัฐบาลใหม่เร่งเจรจาสิทธิพิเศษการค้าหวังสู้กับคู่แข่ง

นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา นายกสมาคมผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูป กล่าวว่า การส่งออกในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารทั้งปี 2562 ขยายตัว 5% จากเดิมที่ประเมินไว้ 8% โดยปัจจัยสำคัญที่กระทบต่อการส่งออกมาจากปัญหาสงครามการค้ามีผลกระทบต่อเศรษฐกิจในหลายประเทศโดยเฉพาะในกลุ่มประเทศเอเชียไม่ขยายตัวอย่างที่คาดคิด ซึ่งมีผลกระทบต่อการนำเข้าสินค้า ดังนั้นเพื่อให้การส่งออกในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารเป็นไปได้อย่างที่ตั้งเป้าหมายไว้ 5%

อย่างไรก็ตาม ในการส่งออกครึ่งปี 2562 ผู้ส่งออกต้องผลักดันการส่งออกสินค้าไปยังตลาดให้มากขึ้น เห็นได้จากการเข้าร่วมงานแสดงสินค้าอาหาร ที่สมาชิกของสมาคมเข้าร่วมงานแสดงเป็นจำนวนมาก ซึ่งจากการสอบถามสมาชิกพบว่า กลุ่มผู้ซื้อผู้นำเข้าทั้งในกลุ่มยุโรป ตะวันออกกลาง หรือแม้แต่ในกลุ่มเอเชียให้ความสนใจสั่งซื้อ อีกทั้งผู้ประกอบการไทยได้นำสินค้าใหม่ ๆ ที่มีนวัตกรรม เพิ่มคุณภาพ หรือเน้นการผลิตสินค้าพรีเมี่ยมเพิ่มมูลค่าให้อาหารมากขึ้น ทั้งนี้ สินค้าที่โดดเด่นและการส่งออกยังเติบโตไปได้ดีอยู่ในกลุ่มผลไม้ โดยเฉพาะทุเรียน มังคุด ลำไย

สำหรับตลาดส่งออกอาหารตลาดสำคัญอย่างจีนยังต้องรักษาตลาดไว้ เพราะเป็นตลาดนำเข้าอาหารและผลไม้ขนาดใหญ่จากไทย รวมถึงฮ่องกง เวียดนาม ซึ่งเป็นตลาดสำคัญที่ยังต้องการนำเข้าสินค้าไทย ส่วนตลาดใหม่ที่เป็นเป้าหมายในการขยายตลาดได้ คือ ตลาดอินโดนีเซีย มาเลเซีย ซึ่งเป็นกลุ่มตลาดฮาลาล

“สิ่งสำคัญในการทำตลาดสินค้าฮาลาล จะต้องทำความรู้ความเข้าใจทั้งผู้ผลิตและผู้ซื้อ เนื่องจากมาตรฐานสินค้าฮาลาลแต่ละประเทศต่างกัน แม้สินค้าฮาลาลจากประเทศไทยจะมีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับ แต่ประเทศผู้นำเข้าก็ต้องการให้ได้มาตรฐานของประเทศผู้นำเข้าด้วย โดยบางประเทศมีเงื่อนไขว่าจะต้องเดินทางมาตรวจสอบโรงงานด้วย สิ่งเหล่านี้จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ประกอบการต้องให้ความสำคัญ หากดำเนินการได้จะทำให้การขยายตลาดส่งออกได้เพิ่มขึ้น”

Advertisment

นอกจากนี้ยังมีมาตรฐานสินค้าอื่น ๆ เช่น มาตรฐานสิ่งแวดล้อม ซึ่งตลาดยุโรปจะให้ความสำคัญในเรื่องนี้มากขึ้นสินค้าหรือบรรจุภัณฑ์จะต้องเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แต่ในประเด็นนี้ สิ่งที่กระทบต่อผู้ส่งออก คือ เรื่องของต้นทุนและภาษีที่อาจจะเพิ่มขึ้น ซึ่งเพิ่มขึ้นทุกปี โดยผู้ส่งออกจะต้องมีการปรับตัวในเรื่องนี้เพื่อการแข่งขันในตลาดได้ดี

นายวิศิษฐ์กล่าวว่า การปรับเปลี่ยนรัฐบาลใหม่ และทีมผู้บริหารที่จะเข้ามาทำงานในกระทรวงเศรษฐกิจใหม่ ควรเข้ามาดูแลและติดตามแก้ไขปัญหาอย่างใกล้ชิดโดยเฉพาะการเจรจาเพื่อรักษาสิทธิพิเศษทางการค้า การเจรจาความตกลงเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) เพื่อให้ไทยสามารถแข่งขันได้ เนื่องจากไทยมีต้นทุนนี้สูงกว่าคู่แข่ง ดังนั้นจึงต้องการให้รัฐบาลใหม่เข้ามาดูแลด้วย เพื่อช่วยทำให้การส่งออกขยายไปในทิศทางที่ตั้งไว้