“จุรินทร์” ร่วมทำลายของกลาง ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา มั่นใจประเทศไทยปลอดของผิดกม.

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวระหว่างเป็นประธานการทำลายของกลางคดีละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาที่คดีถึงที่สุดแล้ว ณ ลานอเนกประสงค์ กองพันทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานที่ 7 กรมทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานที่ 1 เขตดอนเมือง กรุงเทพฯ ว่า กรมทรัพย์สินทางปัญญาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการบังคับใช้กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา สามารถจับกุมคดีและได้ของกลางที่มีการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาได้เป็นจำนวนมาก

โดยของกลางที่สิ้นสุดคดีและนำมาทำลายครั้งนี้มีจำนวนมากถึง 10,620,825 ชิ้น หากคิดเป็นมูลค่าตามราคาของจริงประมาณ 549,911,530 บาท ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่า ประเทศไทยให้ความสำคัญต่อการปราบปรามสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา และพยายามดำเนินการป้องกันไม่ให้ของกลางคดีละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาที่คดีถึงที่สุดแล้ว ถูกนำกลับมาขายในตลาดได้อีก  การทำลายของกลางครั้งนี้ มีผู้แทนสถานเอกอัครราชทูต และผู้แทนหน่วยงานของประเทศคู่ค้าที่สำคัญของไทย รวมทั้งผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชนเจ้าของสิทธิ และสื่อมวลชนร่วมเป็นสักขีพยาน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความโปร่งใสในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ทุกคน และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง

สำหรับการปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญานั้นทาง รัฐบาลได้มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการร่วมกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ภายใต้ การกำกับดูแลของคณะอนุกรรมการปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา  ซึ่งมีผู้แทนจาก 17 หน่วยงาน เป็นอนุกรรมการ โดยปฏิบัติตามแผนปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ทั้งตลาดที่มีการขายสินค้าละเมิด (Physical Markets) และตลาดออนไลน์ (Online Markets) รวมทั้งเข้มงวดป้องปรามการนำเข้าหรือออกทางช่องทางผ่านแดนตลอดจนทำความเข้าใจ และทำความตกลงกับเจ้าของพื้นที่ ให้เพิ่มการกวดขันมิให้มีการจำหน่ายสินค้าละเมิดในพื้นที่ของเจ้าของพื้นที่ เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งในการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาทุกประเภท

ที่ผ่านมาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ปราบปราม การละเมิดสินค้าในท้องตลาดและ การละเมิดบนอินเทอร์เน็ตซึ่งปัจจุบันพบว่ามีปริมาณลดลง โดย ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ค้า นักลงทุน และผู้มีส่วนได้เสีย โดยเฉพาะภาคเอกชนเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญาทั้งไทยและต่างประเทศ อย่างไรก็ดีหลังจากนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะร่วมกันติดตามและปราบปรามการละเมิด เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและมั่นใจให้กับผู้ประกอบการและนักลงทุนโดยเชื่อว่าจะทำให้ หลายประเทศให้ความมั่นใจกับประเทศไทยมากขึ้น