ยางดิ่งรายวันประกันรายได้ซ้ำเติมปัญหา

บทบรรณาธิการ

นโยบายประกันรายได้ชาวสวนยางพารายังไม่ทันเริ่มต้นนับหนึ่ง รัฐบาลโดยคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ (กนย.) แค่ขยับเตรียมออกประกาศหลักเกณฑ์เงื่อนไขในการจ่ายเงินชดเชยให้ชาวสวน 1.7 ล้านราย ภายในวันที่ 15 พ.ย.นี้ ราคาซื้อขายยางตลาดภายในประเทศที่ตกต่ำอยู่แล้วก็ยิ่งดิ่งลงหนัก เดือดร้อนทั้งชาวสวน คนกรีดยาง สหกรณ์ วิสาหกิจชุมชนแปรรูปยางพารา

แถมโดนพ่อค้าคนกลาง ผู้ส่งออก เล่นเกมกดราคารับซื้อซ้ำ ด้วยข้ออ้างเดิม ๆ ราคายางในตลาดโลกปรับตัวลดลง พร้อมกระพือข่าวจีนชะลอรับซื้อยาง ทำให้สถานการณ์ยางพาราภายในประเทศยิ่งย่ำแย่ กระทบชาวสวนยางทั้งภาคใต้ เหนือ อีสาน ตะวันออก

วันที่ 10 ต.ค.ที่ผ่านมา การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) สรุปสถานการณ์ราคายาง ณ ตลาดกลางยางพารา ราคายางแผ่นดิบอยู่ที่ 37.00 บาท/กก. ยางแผ่นรมควันชั้น 3 อยู่ที่ 38.55 บาท/กก. โดยปรับตัวลดลงตามตลาดล่วงหน้าต่างประเทศ ขณะที่ทิศทางราคายางช่วงจากนี้ไปยังมีแนวโน้มเป็นขาลง มองไม่เห็นอนาคต

สถานการณ์ราคายางที่ดิ่งลงรายวันรับโครงการประกันรายได้ ยังสร้างปัญหาต่อเนื่องทำให้สหกรณ์ชาวสวนยาง วิสาหกิจชุมชนแปรรูปยาง ที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสนับสนุนให้เกษตรกรชาวสวนยางรวมตัวกันจัดตั้งขึ้นเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มจากผลิตภัณฑ์ยางตกที่นั่งลำบาก หลายองค์กรที่ประสบปัญหาขาดทุนอยู่แล้ว ยิ่งขาดทุนหนัก ขาดสภาพคล่อง เงินทุนหมุนเวียน

มีแนวโน้มสูงที่วิสาหกิจชุมชน สหกรณ์ชาวสวนยางจำนวนมากที่สถานะทางการเงินเข้าขั้นวิกฤตถึงคราวต้องปิดตัว หรือเลิกประกอบธุรกิจ ผลพวงจากราคายางที่ยังฟุบไม่ฟื้น ทั้งจากปัจจัยเศรษฐกิจโลก สงครามการค้า ค่าบาทแข็งบวกกับพ่อค้า ผู้ส่งออกยางรายใหญ่ฮั้วกันกดราคารับซื้อส่งผลให้ยางแผ่นดิน ยางแผ่นรมควัน น้ำยางสด ยางก้อนถ้วยวูบเหลือให้ 3 กิโล 100 บาท ท้าทายความสามารถทั้งกับ กนย. และรัฐบาล

เท่ากับนโยบายประกันรายได้ซึ่งวัตถุประสงค์หลักคือ การแก้ไขปัญหาระยะสั้น ช่วยให้ชาวสวนยางมีรายได้เพิ่มขึ้นภายใต้สถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบัน กระทบมาตรการป้องกันแก้ไขปัญหา และการยกระดับราคายางในระยะยาว จากที่วิสาหกิจชุมชน สหกรณ์ชาวสวนยาง ฯลฯ จะพากันล้มหายตายจาก

จึงน่าห่วงที่เวลานี้การประกันรายได้ยาง 60 บาท/กก. ซึ่งชาวสวนพากันขานรับกลับให้ผลในทางตรงกันข้าม สวนทางกับนโยบายรัฐที่ต้องการให้เงินที่ทุ่มลงไป 2.4 หมื่นล้านบาท ช่วยให้ชาวสวนยางมีรายได้เพิ่มขึ้น อย่าแปลกใจหากจะมีคำถามตามมาว่า จริง ๆ แล้วเงินก้อนโตกำลังจะหมุนเข้ากระเป๋าใคร