หอการค้าไทย หนุน คนละครึ่ง เฟส 3-4 เพิ่มผู้มีสิทธิ์เป็น 20 ล้านคน

คนละครึ่ง

หอการค้าไทย หนุนรัฐบาลต่อ คนละครึ่ง เฟส 3 และ เฟส 4 พร้อมขยายผู้มีสิทธิ์ 20 ล้านคน เนื่องจากเข้าถึงทุกกลุ่ม ดันให้ไทยสู่ดิจิทัลทางธุรกิจ กระตุ้นเศรษฐกิจและกำลังซื้อได้ดี พร้อมเสนอขยายโครงการเที่ยวด้วยกันเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวครึ่งปีหลัง

นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ในฐานะประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ เปิดเผยว่า หอการค้าไทย มองว่าโครงการคนละครึ่ง ได้รับการตอบรับจากประชาชนโดยส่วนใหญ่ เนื่องจากนโยบายสามารถเข้าถึงทุกคนไม่ว่าธุรกิจขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่ พร้อมกันนี้ จากโครงการดังกล่าวยังเป็นการผลักดันให้ประชาชนทุกคนเข้าสู่ดิจิทัล การเข้าสู่สังคมออนไลน์ การใช้เทคโนโลยี 5G มากขึ้นในระบบธุรกิจ การหมุนเวียนของเงินเร็วขึ้น ใช้เงินระวังจากงบที่ให้ 150 บาทต่อวัน หอการค้าไทยสนับสนุนหากรัฐบาลจะเดินหน้าโครงการเฟส 3

“โครงการคนละครึ่งหากต่อเฟส 3 เฟส 4 โดยให้ได้คนละ 3,500 บาท กับผู้ที่มีสิทธิในปัจจุบัน 15 ล้านคน หรือจะขยายผู้มีสิทธิ์เป็น 20 ล้านคน คาดว่าจะใช้งบประมาณประมาณ 60,000 ล้านบาท เชื่อว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในไตรมาส 1 และไตรมาส 2 ของปี 2564 ได้เป็นอย่างดี และเป็นการกระตุ้นกำลังซื้อของผู้บริโภคได้อย่างต่อเนื่อง”

ทั้งนี้ ยังเป็นการชดเชยปัญหาผลกระทบจากการส่งออกของไทยที่คาดว่าจะฟื้นตัวในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2564 เนื่องจากปัญหาค่าเงินบาทแข็งค่า และปัญหาตู้คอนเทนเนอร์ขาดแคลน การขนส่งแพงขึ้น ซึ่งปัจจัยดังกล่าวมีผลทำให้ราคาสินค้าส่งออกของไทยแพงขึ้น ทำให้เม็ดเงินที่ได้หายไปกว่า 1-2 แสนล้านบาท ประกอบกับปัญหาภัยแล้งและภาคการท่องเที่ยวยังไม่ฟื้นตัวดีด้วย โครงการคนละครึ่งจะเป็นกลไกสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจซึ่งสามารถกระจายไปทั่วประเทศ เห็นได้จากต่างจังหวัดมีการใช้คนละครึ่งจำนวนมาก

นอกจากนี้ จำนวนผู้ที่ได้รับสิทธิโครงการคนละครึ่ง หอการค้ามองว่าได้กำหนดกลุ่มเป้าหมายได้ถูกต้อง เนื่องจากเป็นคกลุ่มคนที่มีรายได้ กลุ่มคนแรงงานตั้งแต่อายุ 15-60 ปี ขณะที่คนกลุ่มอื่น เช่น โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 14 ล้านคน สำหรับผู้มีรายได้น้อย รัฐก็มีงบช่วยเหลือ เด็กเกิดใหม่ ก็มีการโอนเงินให้ ผู้สูงอายุ ก็ได้งบช่วยเหลือ เกษตรกร รัฐบาลก็มีโครงการประกันรายได้ เป็นต้น ซึ่งถือว่ารัฐบาลได้หาโครงการ มาตรการช่วยเหลือให้ไม่ซับซ้อน

นายธนวรรธน์กล่าวอีกว่า สำหรับโครงการช้อปดีมีคืน เที่ยวด้วยกัน ก็เป็นโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจได้ดี และมองว่าไม่จำเป็นที่จะต้องโยกย้ายงบประมาณในโครงการดังกล่าวไปเพิ่มในโครงการคนละครึ่งแต่อย่างใด อีกทั้งมองว่าควรจะขยายโครงการออกไป โดยเฉพาะเที่ยวด้วยกัน เพราะมองว่าภาคการท่องเที่ยวน่าจะฟื้นจะกลับมาในช่วงไตรมาส 3 ของปี 2564 และคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างประเทศเข้ามาได้มากขึ้น ทั้งปี 2564 คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวประมาณ 4 ล้านคน

และระหว่างครึ่งปีแรก การส่งเสริมการท่องเที่ยว มองว่าภาครัฐควรจะสนับสนุนการเที่ยวระหว่างสัปดาห์ให้มากขึ้น เพราะระหว่างสัปดาห์นั้นการท่องเที่ยวคนไทยน้อย เห็นได้จากการจองห้องพักส่วนใหญ่จะเป็นช่วงวันหยุดยาว หรือช่วงเสาร์-อาทิตย์ แต่วันธรรมดาน้อยมาก จึงต้องการให้รัฐออกมาตรการจูงใจส่งเสริมการเที่ยวระหว่างสัปดาห์ให้มากขึ้น นอกจากแคมเปญการท่องเที่ยวคนโสด คู่รัก หรือกระตุ้นให้มีการอบรม สัมมนาแล้ว หากดำเนินการได้จะช่วยประคองภาคการท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี