โควิดพันธุ์ใหม่ถล่ม “อินเดีย” สั่งลดภาษีนำเข้า “ออกซิเจน” 0%

โควิดพันธุ์ใหม่ถล่ม
FILE PHOTO : REUTERS/Amit Dave

ความรุนแรงของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่หวนกลับมาระบาดอีกครั้ง ส่งผลกระทบไปทั่วโลก โดยเฉพาะ “สายพันธุ์อินเดีย” ที่ขึ้นชื่อว่าแพร่เร็วและโหดร้ายกว่าสายพันธุ์อังกฤษ

ล่าสุดอินเดียสร้างสถิติมีจำนวนผู้ติดเชื้อทะลุ 4 แสนคน เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2564 ที่ผ่านมา ยอดผู้ติดเชื้อสะสม 20 ล้านคน เสียชีวิตกว่า 2 แสนคน นำไปสู่วิกฤต “อินเดีย” ขาดแคลนออกซิเจน

ล็อกดาวน์ เคอร์ฟิว

นางสาวสายทอง สร้อยเพชร ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย ซึ่งได้ผ่านสถานการณ์วิกฤตโควิดอินเดียมาตั้งแต่รอบแรก กล่าวว่า อินเดียมีประสบการณ์จากการระบาดปีก่อนปีนี้รับมือได้ดี เพียงแต่ความรุนแรงของการแพร่ระบาดของสายพันธุ์นี้กระจายเร็วมากขึ้น

สายทอง สร้อยเพชร
สายทอง สร้อยเพชร ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย

ทางรัฐบาลอินเดียจึงประกาศใช้ทั้งมาตรการล็อกดาวน์และเคอร์ฟิว โดยสนับสนุนให้ทำงานที่บ้าน (work from home) 100% ในพื้นที่นิวเดลี และปริมณฑล (NCR) รัฐใกล้ ๆ ธุรกิจ โรงงาน ร้านค้าที่ไม่ใช่ร้านของชำ ห้าง โรงหนัง งานรวมตัว คอมเพล็กซ์ สปอร์ตคลับ “ปิดหมด” ส่วนศาสนสถาน เปิดประตูแต่ห้ามผู้คนเข้าบูชา ร้านอาหารให้ดีลิเวอรี่อย่างเดียว ไปถึงวันที่ 10 พฤษภาคม 2564

“ชีวิตความเป็นอยู่ในการปิดเมืองครั้งนี้ไม่ได้ลำบากมากนัก ถ้าเทียบกับเมื่อปีก่อนที่ล็อกดาวน์ยาวนาน 9 เดือน เพิ่งมาคลายล็อกเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ที่ให้ทำทุกกิจกรรม แต่ลดจำนวนคนลง 50% เพื่อเว้นระยะห่าง แต่ก็มาพบกับการระบาดครั้งนี้ที่ยอดการติดเชื้อสูงเกิน 3 แสนคนต่อวัน นานมาเป็นสัปดาห์ มีผู้เสียชีวิตต่อวัน 3 พันคน ถามว่าโหดกว่าสายพันธุ์อังกฤษไหม จริง ๆ แล้วในอินเดียก็มีโควิดทุกสายพันธุ์ ทั้งอังกฤษ แอฟริกา ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการใช้ชีวิตในสังคมจะใกล้ชิดกันมาก ตามที่เห็นเป็นข่าว”

ปัจจุบันอินเดียได้มีการฉีดวัคซีนที่วิจัยและพัฒนาเอง 2 ชนิด (โควิชีลด์และโควาซิน) ทั้งยังมีวัคซีนจากต่างประเทศ โดยมีจำนวนผู้ได้รับวัคซีนประมาณ 147.8 ล้านโดส รองจากสหรัฐและจีน ซึ่งในจำนวนนี้ครบ 2 โดสแล้ว 24.9 ล้านคน และกำลังขยายให้ประชาชนอายุ 18-44 ปีลงทะเบียนรับวัคซีน ส่วนชาวต่างชาติที่อาศัยในนิวเดลี สามารถจะซื้อฉีดเอง ราคาโดสละ 250 รูปี ฉีดคนละ 2 โดส ราคา 500 รูปี

ขณะนี้สต๊อกวัคซีนลดลง แต่มีวัคซีนต่างประเทศหลายตัวที่รอขึ้นทะเบียน ทั้งจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ไฟเซอร์ และโมเดอร์นา

ปรับสู่ “การทำตลาดออนไลน์”

“ในช่วง 1 ปีผ่านมา สคต.อินเดียมีการวางระบบการทำงานเตรียมพร้อม ทำให้ปีนี้ตลาดอินเดียไม่ได้รับผลกระทบทุก สคต.ในอินเดีย เน้นทำแผนการทำการตลาดออนไลน์ โดยการนำแพลตฟอร์มและเทคโนโลยีต่าง ๆ มาปรับใช้ เช่น กิจกรรมแสดงสินค้าแบบไฮบริด เวอร์ชวล เอ็กซิบิชั่น การจัดกิจกรรมเจรจาจับคู่ธุรกิจออนไลน์ (online business matching) ซึ่งเราเน้นจัดถี่มากเดือนละ 2 ครั้ง”

ถุงมือยางส่งออกพุ่ง 7 เท่า

จากสถานการณ์ปีก่อนนิวเดลีสนใจนำเข้าถุงมือยางจากไทยมาก เพราะเป็นสินค้าจำเป็น ผู้นำเข้าอินเดียบางรายนำมาใช้เอง และอีกกลุ่มเป็นเทรดเดอร์ แต่เท่าที่สอบถามไปทางผู้ผลิตไทย ส่วนใหญ่รับออร์เดอร์ล่วงหน้าเต็มยาว จะรับเพิ่มได้บ้าง แต่ไม่มากนัก

ในปี 2563 อินเดียนำเข้าถุงมือยางที่ใช้ในการแพทย์และวินิจฉัย 372.15 ล้านคู่ มูลค่า 35.63 ล้านเหรียญสหรัฐเพิ่มขึ้น 8% ในแง่ปริมาณ จากมาเลเซีย 74% ศรีลังกา 11% เวียดนาม 7% ไทย 5% และจีน 1% ขณะที่ไทยส่งออก 864.84 ล้านคู่ มูลค่า 284.72 ล้านเหรียญสหรัฐ

ส่วนปี 2564 ช่วงไตรมาสแรกส่งออกมาอินเดียแล้ว 8.59 ล้านคู่ มูลค่า 1.35 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นกว่า 7 เท่าตัว เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าปัจจัยหลักจากอินเดียยังมีการแพร่ระบาดโควิดจำนวนมากอย่างต่อเนื่องและกลับมาระบาดหนักรอบสอง

ดีลนำเข้าออกซิเจน

“ปีนี้ทางรัฐบาลอินเดียต้องการนำเข้าออกซิเจน มีการส่งเครื่องบินไปรับที่ไทย 2 เที่ยวบิน เพราะอย่างที่ทราบตอนนี้ประสบปัญหาขาดแคลนมาก รัฐบาลต้องประกาศลดภาษีนำเข้าออกซิเจนจาก 10% เหลือ 0% ประสานนำเข้าเร่งด่วน”

ขณะที่ทาง สคต.ได้รับการประสานติดต่อจากสมาพันธ์อุตสาหกรรมอินเดีย สอบถามขอข้อมูลมาว่ามีผู้ผลิตไทยที่ผลิตออกซิเจนหรือไม่ ซึ่งแต่ละรัฐของอินเดียจะมีการเปิดนำเข้าด้วยกฎระเบียบที่แตกต่างกัน

และเป็นที่น่าสังเกตว่า ยังมีสินค้าดาวเด่นอีกตัวที่เติบโตดี คือ อาหารสัตว์เลี้ยง ซึ่งในไตรมาส 1 ขยายตัว 30% และมีแนวโน้มดีต่อเนื่องมาตั้งแต่ปีก่อนจากที่ประชาชนอยู่บ้านเลี้ยงสัตว์

ภาพรวมส่งออก Q1

สำหรับไตรมาส 1 การค้าไทย-อินเดียมีมูลค่า 3,587 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 17% ไทยส่งออก 1,940 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 8% และนำเข้า 1,646 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 29%

ปัจจัยบวกจากการที่อินเดียส่งออกได้ดี ทิศทางเศรษฐกิจดี การฉีดวัคซีน การกระตุ้นการจ้างงานจากโครงการส่งเสริมการลงทุน Made in India ทำให้ต้องการนำเข้า โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มอุตสาหกรรมขั้นกลางที่นำมาเป็น “วัตถุดิบ” เช่น เม็ดพลาสติก เคมีภัณฑ์ อัญมณี ทองแดง ยาง ชิ้นส่วนยานยนต์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า

ส่วนสินค้าที่เรานำเข้าจากอินเดียจะเป็นกลุ่มเพชร พลอย อัญมณี

“เราเห็นเคสที่นักลงทุนอินเดียหันมาให้ความสนใจนำเข้าวัตถุดิบจากไทย เช่น เส้นใยโพลิเอสเตอร์ ซึ่งเดิมเคยนำเข้าจากจีน เพราะมีความตกลงการค้าเสรี ทั้งเอฟทีเอไทย-อินเดีย และเอฟทีเอ อาเซียน-อินเดีย ประกอบกับการเร่งผลิตสินค้าในประเทศ แต่ยังขาดสินค้าบางประเภท เช่น อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักรกล เครื่องใช้ไฟฟ้า เคมีภัณฑ์ และอินเดียยังขาดแคลนอะไหล่เซมิคอนดักเตอร์ จึงต้องการนำเข้า”

เป้าหมายส่งออกปีนี้โต 4.8%

“สคต.คาดว่าตลาดอินเดียปีนี้จะขยายตัว 4.8% มีมูลค่า 5,754 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยมีปัจจัยบวกสนับสนุน 5-6 ด้าน คือ การฉีดวัคซีนจะขยายวงกว้างมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้เกิดความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ คาดการณ์ว่าตัวเลขจีดีพีอินเดีย ปีนี้จะขยายตัว 11% ส่วนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอินเดียจะเน้นการกระตุ้นภาคการผลิตเป็นหลัก แต่ไม่มีมาตรการกระตุ้นการบริโภค”

ปัจจัยอัตราแลกเปลี่ยนค่าบาทของไทยมีแนวโน้มที่จะอ่อนค่า และผลจากการนโยบายส่งเสริม work from home 100% โดยไม่ลดเงินเดือน เป็นแรงหนุนให้คนวัยทำงานของอินเดียย้ายไปอยู่นอกนิวเดลี จึงต้องการก่อสร้างบ้าน ซื้อเฟอร์นิเจอร์ รวมถึงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น

ปัจจัยที่น่าห่วง

อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยลบต่อการส่งออกจากการใช้มาตรการทางการค้า เช่น การขึ้นภาษี การให้ขอใบอนุญาตนำเข้าสินค้ายานยนต์ การควบคุมมาตรฐานสินค้า เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า ของเล่น เคมีภัณฑ์ เพื่อส่งเสริมการผลิตในประเทศ

นอกจากนี้ยังมีมาตรการป้องกันการสวมสิทธิ์เป็นสินค้าอินเดีย หรือ anticircumvention โดยตรวจสอบสินค้าเข้มงวดขึ้น เช่น กลุ่มยางล้อรถยนต์ และทีวีสี และปัจจัยการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศยังล่าช้า การขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์บรรจุสินค้า

และที่สำคัญ ต้องจับตาผลกระทบจากโควิดสายพันธุ์อินเดียครั้งนี้ ซึ่งนายกรัฐมนตรีอินเดียบอกว่า “รอบนี้จะเป็นรอบสึนามิ”