ยอดค้าชายแดนและผ่านแดน มิ.ย. 64 เดือนเดียวทะยาน 146,094 ล้านบาท

ค้าชายแดน
แฟ้มภาพ

“จุรินทร์” เผยการค้าชายแดนและการค้าผ่านแดนของไทยเดือน มิ.ย. 64 มีมูลค่า 146,094 ล้านบาท ขยายตัว 41.68% ท่ามกลางปัญหาโควิด โดยขยายตัวทุกด่าน พร้อมเร่งเปิดด่าน ไทย-สปป.ลาว เพิ่ม

วันที่ 28 กรกฎาคม 2564 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ค้าชายแดนและการค้าผ่านแดนของไทยในเดือนมิถุนายน 2564 มีมูลค่าการค้ารวมสูงถึง 146,094 ล้านบาท และเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีที่แล้ว ขยายตัว 41.68% โดยแบ่งเป็นการค้าชายแดนมูลค่า 73,376 ล้านบาท ขยายตัว 20.65% การค้าผ่านแดนมูลค่า 72,718 ล้านบาท ขยายตัว 71.91% โดยเป็นผลมาจากการผลักดัน การส่งเสริมการค้า การส่งออกทำให้การค้าชายแดน ผ่านแดน ขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะตลาดสำคัญอย่างมาเลเซีย

ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาเป็นรายประเทศ พบว่าในเดือนมิถุนายน 64 มาเลเซียมีมูลค่าการค้าชายแดนสูงสุด 24,849 ล้านบาท ขยายตัว 15.33% รองลงมาเป็น สปป.ลาว 17,894 ล้านบาท ขยายตัว 18.40% เมียนมา 17,139 ล้านบาท ขยายตัว 31.79% และกัมพูชา 13,494 ล้านบาท ขยายตัว 20.99% ตามลำดับ สำหรับการค้าผ่านแดนในเดือนมิถุนายน 64 ไปจีนสูงสุด 35,740 ล้านบาท ขยายตัว 86.56% เป็นบวกเยอะมากเกินกว่า 50% รองลงมาเป็นสิงคโปร์ 10,158 ล้านบาท ขยายตัว 81.65% เวียดนาม 6,082 ล้านบาท ขยายตัว 16.91%

จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์

โดยเหตุผลสำคัญที่ทำให้มูลค่าการค้าชายแดนเพิ่มขึ้น มาจากการจับมือทำงานร่วมกันระหว่างกระทรวงพาณิชย์กับภาคเอกชนในรูปแบบ กรอ.พาณิชย์ เพื่อเร่งรัดการเปิดจุดผ่านแดน รวมทั้งได้เร่งรัดดำเนินการแก้ไขปัญหาเชิงรุกในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาเพื่อให้สินค้าที่จะข้ามแดนแต่ละประเทศสามารถผ่านไปได้โดยสะดวกรวดเร็วขึ้น แม้มีปัญหาอุปสรรคหลายประการก็สามารถแก้ปัญหาให้ลุล่วงไปได้ด้วยดี เช่น การแก้ปัญหาและอุปสรรคในการส่งออกผลไม้ไปจีน ส่งผลให้มูลค่าการค้าผ่านแดนจากไทยไปจีนในเดือนมิถุนายน 2564 เพิ่มขึ้น 86.56% เมื่อเทียบกับเดือนพฤษภาคม 2564

เนื่องจากความต้องการสินค้าจำเป็นเพื่อการอุปโภคบริโภคของประเทศเพื่อนบ้านเพิ่มขึ้นในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกใหม่ ประกอบกับเศรษฐกิจของประเทศเพื่อนบ้านเริ่มฟื้นตัว ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคมที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์ได้นำคณะลงพื้นที่ไปผลักดันเปิดจุดผ่านแดนถาวรบ้านปากแซง อำเภอนาตาล ภายใต้โครงการพาณิชย์สัญจรชายแดน ณ จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับแขวงสาละวันของ สปป.ลาว เพื่อแก้ปัญหาและอุปสรรคให้กับผู้ประกอบการ และได้มอบหมายให้ผู้ว่าราชการจังหวัดจัดประชุมหารือร่วมกับแขวงสาสะวัน ในวันที่ 15 กรกฎาคม 2564

ทำให้ขณะนี้จังหวัดอุบลราชธานีและแขวงสาละวัน ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) เกี่ยวกับการอนุญาตให้นำเข้า-ส่งออกได้ตามประเภท ชนิด และปริมาณ ที่ทั้ง 2 ฝ่ายกำหนด โดยเมื่อได้รับอนุญาตแล้วจะสามารถเปิดจุดผ่านแดนถาวรบ้านปากแซง เฉพาะการขนส่งสินค้าได้ เพื่อเพิ่มตัวเลขการส่งออกให้มากขึ้นและให้ผู้ประกอบการค้าชายแดนและผ่านแดนสามารถส่งออกสินค้าได้ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ตนได้สั่งการให้กรมการค้าต่างประเทศ ประชุมหารือร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดชายแดนไทย-สปป.ลาว กัมพูชา เมียนมา และมาเลเซีย จำนวน 7 จังหวัด 10 แห่งที่เหลือ เพื่อติดตามการผลักดันเปิดจุดผ่านแดนที่เหลือ โดยใช้จุดผ่านแดนถาวรบ้านปากแซง อำเภอนาตาล เป็นต้นแบบในการดำเนินการ

และในวันศุกร์ที่ 30 กรกฎาคม 2564 นี้ กรมการค้าต่างประเทศจะจัดประชุมร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดด้าน สปป.ลาวก่อน จำนวน 5 จังหวัด 6 แห่ง ดังนี้ 1.จุดผ่อนปรนการค้า บ้านแจมป๋อง อ.เวียงแก่น จ.เชียงราย 2.จุดผ่านแดนถาวร อ.เชียงคาน จ.เลย 3.จุดผ่อนปรนการค้า บ้านหมอ อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย 4.จุดผ่านแดนถาวร ท่าเรือหนองคาย อ.เมือง จ.หนองคาย 5.จุดผ่านแดนถาวร ท่าเทียบเรือนครพนม อ.เมือง จ.นครพนม 6. จุดผ่านแดนถาวร ท่าเทียบเรือมุกดาหาร อ.เมือง จ.มุกดาหาร

มูลค่าการค้าชายแดน/ผ่านแดนของไทยปี 2564 ยังมีแนวโน้มที่ดีขึ้นและคาดว่าจะสามารถขยายตัวได้ร้อยละ 3-6 ตามเป้าที่ตั้งไว้ได้อย่างแน่นอน ทั้งนี้ สถานการณ์เปิดทำการจุดผ่านแดนเพื่อการขนส่งสินค้า ณ วันที่ 22 กรกฎาคม 2564 ไทยเปิดทำการจุดผ่านแดนทั้งสิ้น 44 แห่ง จากทั้งหมด 97 แห่ง

นอกจากนี้ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของกระทรวงพาณิชย์ ภายใต้โครงการ “จับคู่กู้เงิน…สถาบันการเงินกับ SMEs ส่งออก” ที่กระทรวงได้ร่วมมือกับ Exim Bank ในการปล่อยสินเชื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการส่งออกและผู้ประกอบการที่อยู่ในห่วงโซ่การส่งออก จะช่วยให้ผู้ประกอบการมีสภาพคล่องและมีเงินหมุนเวียนในธุรกิจ ตลอดจนสามารถพยุงธุรกิจอยู่ได้ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งขณะนี้ยอดสินเชื่อ ณ วันที่ 27 กรกฎาคม 2564 มีผู้ประกอบการยื่นขอสินเชื่อแล้ว 331 ราย อนุมัติวงเงินแล้ว 81 ราย วงเงินรวม 316.7 ล้านบาท รอการอนุมัติ 250 ราย วงเงินรวม 2,201 ล้านบาท