ราช กรุ๊ปตั้งงบฯลุยลงทุน 3 หมื่น ล. คาดปี’65 กำไร EBITDA 3 พันล้าน

ราชกรุ๊ป

ราช กรุ๊ปคาดปี’65 กำไร EBITDA 2,500-3,000 ล้านบาท การรับรู้รายได้จาก 6 โครงการพร้อมตั้งงบฯลุยลงทุน 3 หมื่นล้าน ขยายธุรกิจไฟฟ้า-นอกภาคไฟฟ้า

วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2565 น.ส.ชูศรี เกียรติขจรกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าปีนี้บริษัทคาดว่าจะมีกำไร ก่อนหักภาษี ดอกเบี้ย และค่าเสื่อมราคา (EBITDA) ประมาณ 2,500-3,000 ล้านบาท จากการรับรู้รายได้จาก 6 โครงการที่ลงทุนและดำเนินงานเชิงพาณิชย์ รวมกำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้น 1,376.89 เมกะวัตต์

ประกอบด้วย กลุ่มโรงไฟฟ้าสหโคเจน กำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้น 124.95 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมเรียว ในประเทศอินโดนีเซีย 145.15 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้าเน็กส์ซีฟ ราช ระยอง 45.08 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้าพลังความร้อนไพตัน ในประเทศอินโดนีเซีย 930.78 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้าพลังงานลมอีโค่วิน ในประเทศเวียดนาม 15.15 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้าราชโคเจเนอเรชั่น ส่วนขยาย 31.19 เมกะวัตต์ รวมถึงโรงไฟฟ้าพลังน้ำอาซาฮาน 1 ที่บริษัทได้ลงทุนเพิ่มเติมเมื่อปลายปีที่แล้วที่กำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้น 86.20 เมกะวัตต์ด้วย

ขณะที่โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูและสายสีเหลือง จะเริ่มเปิดให้บริการบางส่วนในเดือนสิงหาคม และโรงงานผลิตเชื้อเพลิงชีวมวลอัดแท่ง ใน สปป.ลาว จะเริ่มดำเนินการผลิตในไตรมาส 4 และจำหน่ายผลิตภัณฑ์ให้กับบริษัท Kyuden Mirai Energy Co., Ltd ปีละ 100,000 ตัน ภายใต้สัญญาซื้อขายระยะเวลา 15 ปี

ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานปี 2564 บริษัทมีกำไร 7,772 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 23.6% คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 5.36 บาท

Advertisment

น.ส.ชูศรีเปิดเผยว่า ปี 2565 บริษัทตั้งงบฯลงทุน 30,000 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินลงทุนเพื่อขยายธุรกิจผลิตไฟฟ้า 28,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการใหม่ 26,500 ล้านบาท และโครงการเดิม 1,500 ล้านบาท ส่วนงบฯลงทุนในธุรกิจอื่นนอกภาคการผลิตไฟฟ้า 2,000 ล้านบาท ประกอบด้วยโครงการใหม่ 1,400 ล้านบาท และโครงการเดิม 600 ล้านบาท

“บริษัทตั้งเป้าหมายเพิ่มกำลังการผลิตเพิ่มอีก 700 เมกะวัตต์ โดยเป็นโครงการประเภทเชื้อเพลิงฟอสซิล ไม่น้อยกว่า 450 เมกะวัตต์ และโครงการประเภทพลังงานทดแทน ไม่น้อยกว่า 250 เมกะวัตต์ ซึ่งจะทำให้กำลังการผลิตตามสัดส่วนการลงทุนในปี 2565 เพิ่มถึง 9,800 เมกะวัตต์”

นอกจากนี้ ตั้งเป้าหมายเพิ่มการลงทุนกำลังการผลิตจากพลังงานทดแทนปีละ 250 เมกะวัตต์ และจะต้องเพิ่มขึ้นให้ถึง 2,500 เมกะวัตต์ในปี 2568 และ 4,000 เมกะวัตต์ในปี 2578 คาดว่าจะสามารถลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ประมาณ 4 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า และ 10 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ประกอบกับแผนการปลูกและอนุรักษ์ป่าไม้ ที่จะดำเนินการตั้งแต่ปี 2565-2577 พื้นที่รวม 50,000 ไร่ คาดว่าจะช่วยดูดกลับก๊าซเรือนกระจกได้ประมาณ 670,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า

Advertisment