สุขสันต์ เจียมใจสว่างฤกษ์ CEO ใหม่ “ซีพีเอฟ” ผมมาจุดนี้ได้เพราะลูกน้อง

สัมภาษณ์

“สุขสันต์ เจียมใจสว่างฤกษ์” จากตำแหน่งเดิมรองประธานกรรมการกลุ่มธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหาร เขตประเทศสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ปัจจุบันขยับขึ้นเป็นประธานคณะผู้บริหารธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรม และกรรมการผู้จัดการใหญ่ (ร่วม) บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) เพิ่งออกงานเปิดตัวเป็นทางการครั้งแรก เมื่อไปเป็นประธานงานโครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันเด็กนักเรียน โรงเรียนไทยราษฎร์คีรี อ.พบพระ จ.ตาก หลังเสร็จงาน “ซีอีโอ” ใหม่หมาดของซีพีเอฟ ถือโอกาสเปิดใจถึงตำแหน่งงานใหม่

Q : แนวทางการทำงานหรือนโยบาย

การช่วยเหลือสังคมยังคงเป็นนโยบายหลักของซีพี ตามที่ท่านประธานอาวุโส (ธนินท์ เจียรวนนท์)ให้ไว้กับผู้บริหารทุกคนทั้งในประเทศและต่างประเทศ คือ 3 ประโยชน์สู่ความยั่งยืน ไม่ว่าจะไปลงทุนทำธุรกิจอะไรที่ไหนในโลกนี้

สิ่งแรกคือต้องให้ประเทศนั้นได้รับประโยชน์สูงสุด ประชาชนในประเทศนั้นได้รับประโยชน์สูงสุด พนักงานต้องได้รับประโยชน์ด้วย สุดท้ายถึงจะเป็นประโยชน์ของบริษัท ตรงนี้มีความหมายลึกซึ้งมาก ผมไปทำงานอยู่ต่างประเทศ ไม่ได้ยึดหลักทฤษฎีการค้าอะไรทั้งสิ้น ผมจำแค่ 3 ประโยชน์ที่ท่านประธานสอนนี่แหละ

Advertisment

Q : ที่เมืองไทยใช้แนวทางเดียวกัน

ผมบอกเลยว่าเราปกครองดูแลกันเหมือนพี่น้อง ไม่ได้ยึดตำแหน่ง ตั้งแต่อยู่เวียดนามแล้ว ผมสอนคนของเราว่าผู้บริหารมีหน้าที่ดูแลลูกน้อง เพราะความสำเร็จของเราเกิดจากลูกน้องทำให้ ผมมาอยู่ตรงจุดนี้ได้ เพราะผมโชคดีมีลูกน้องดี ๆ ช่วยสนับสนุน ลูกน้องและลูกค้า คือหัวใจในการทำงาน ฉะนั้น เมื่อไหร่เราปกครองจากข้างบนลงข้างล่าง จะมีปัญหา วันนี้ต้องเปลี่ยนใหม่ ต้องดูแลจากข้างล่างขึ้นข้างบน ถ้าเรารู้จักดูแลคนข้างล่าง ทำธุรกิจอะไรจะประสบความสำเร็จ อย่าว่าแต่ภาคเอกชนเลย ภาครัฐก็เหมือนกัน

 

Q : ยอดขายปี 2560 เป้าปี 2561

Advertisment

ยอดขาย 9 เดือนของปีนี้รวม 344,839 ล้านบาท และมีีกำไรสุทธิ 12,965 ล้านบาท ใกล้เคียงกับ 9 เดือนปีที่แล้ว คาดว่าสิ้นปี 2560 จะเติบโตใกล้เคียงกับปี 2559 หรือเพิ่มขึ้น 10% เนื่องจากราคาหมูที่เวียดนามมีปัญหาตกต่ำมา 1 ปีเต็มแล้ว ยังไม่ฟื้นตัว คาดว่าปีหน้าจะค่อย ๆ ฟื้นตัวขึ้นอย่างช้า ๆ ประจวบกับปลายปีนี้ราคาหมูในไทยเริ่มอ่อนตัวลง จึงคาดการณ์ยอดขายปี 2561 จะมีอัตราการเติบโตประมาณ 10% เช่นทุกปี

ในอนาคตซีพีเอฟจะเติบโตในต่างประเทศเป็นหลัก สังเกตว่าเรามีการซื้อหรือควบรวมกิจการ (M&A) เพราะทำให้เติบโตได้อย่างรวดเร็ว โดยทุกปีกำหนดเงินลงทุนเฉลี่ยปีละ 20,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่ขยายการผลิตกิจการที่มีอยู่เดิม M&A ปี 2561 จะสร้างโรงงานแปรรูปในเวียดนาม และฟิลิปปินส์

Q : ประเทศไหนเติบโตมากสุด

ในต่างประเทศตอนนี้ถ้าตัดจีนออกไปเวียดนาม สัดส่วนอยู่ที่ 13% หรือ มียอดขาย 2,000 ล้านยูเอสดอลลาร์ต่อปี สำหรับปี 2561 เรามองฟิลิปปินส์ว่ามีโอกาสเติบโตได้สูงมาก เวียดนาม อินเดีย โปแลนด์ และรัสเซีย โดยเฉพาะฟิลิปปินส์ ประชากรร้อยกว่าล้านคน การลงทุนในต่างประเทศ จะทำปศุสัตว์ก่อน แล้วก็ขยายไปเฟส 2 คือการแปรรูป อย่างที่เวียดนามไปลงทุน20 ปีแล้ว ตอนนี้จะลงทุนทำโรงงานแปรรูปไก่ ปีหน้าเริ่มได้ อนาคตเวียดนามจะมีเรื่องส่งออกไก่ด้วย

Q : ปัจจัยที่ทำให้เวียดนามน่าสนใจ

1.ประชากรเกิดปีละประมาณ1 ล้านคน ตอนนี้ 90 ล้านคนแล้ว 2.คนเวียดนามส่วนมากเป็นคนหนุ่มสาว วัยทำงานมากสุด 50% ขึ้นไป มีอาชีพและมีกำลังซื้อ 3.คนเวียดนามพื้นฐานเป็นคนขยัน เก่งและอดทน ฉะนั้น ธุรกิจในเวียดนามเติบโตได้เพราะคนเวียดนามพวกผมแค่นำเทคโนโลยีใหม่ ๆ ไปสอนให้

ที่สำคัญ รัฐบาลเวียดนามสนับสนุนเรามาก มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน เนื่องจากเมื่อ 20 ปีก่อน เวียดนามขาดแคลนอาหาร รัฐบาลเวียดนามขอให้ซีพีไปลงทุน ท่านประธานธนินท์ เป็นคนแรกที่บริจาคพันธุ์ข้าวโพด 10 ตันให้ไปปลูก เพราะถ้าจะไปทำโรงงานเรื่องวัตถุดิบสำคัญมาก ไม่มีวัตถุดิบ โรงงานก็ทำอะไรไม่ได้

อีกเรื่องคือ ไปทำซีเอสอาร์ให้เนื่องจากเวียดนามใช้มอเตอร์ไซค์มาก มีอุบัติเหตุ สมัยนั้นเลือดต้องซื้อขายกัน ซีพีเป็นคนแรกที่ทำโครงการบริจาคเลือด ใหม่ ๆ โดนต่อต้านว่าจะเอาเลือดคนเวียดนามมาสร้างชื่อเสียง เลยทำให้เห็นเป็นตัวอย่างให้พนักงานคนไทยที่เวียดนามราว 100 คน บริจาคเลือดหมดทุกคน ผมบริจาคเป็นคนแรก ทั้งที่กลัวเข็มแทบตาย แต่ด้วยความเป็นผู้นำต้องกัดฟันลงไปนอนให้เจาะแขน ใจเต้นตึ๊ก ๆ กลัวมากให้เลือดเสร็จ ไม่กล้าลุก ใจสั่นจะเป็นลม

Q : ในประเทศไทยจะลงทุนเพิ่ม

ในไทยต้องยอมรับความจริง ว่าวันนี้ค่อนข้างจะเต็ม มีบริษัทใหม่ ๆ เกิดขึ้นพอสมควร เราเป็นบริษัทใหญ่ ทำอะไรนิดหน่อยมักมีข่าวในทางที่ไม่ดีอยู่เรื่อย คนจะมองภาพเราอีกแบบ เปลี่ยนแปลงเจตนารมณ์หมด วัน ๆ ไม่อยากมาตอบคำถามพวกนี้ จึงพยายามออกไปต่างประเทศ ทั้งที่แต่ละครั้งที่ไปลงทุนไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะมีกำไร ต้องไปสู้กับเจ้าถิ่น และบริษัทยักษ์ใหญ่ แต่ถ้าในเมืองไทยเราคิดว่าเราไม่แพ้ใคร แต่ถ้าฝืนไปขยาย ชนกันไปชนกันมา ต้องมีคนเจ็บ ในเมืองไทยจึงหันมาคุมค่าใช้จ่าย ดูแลเรื่องต้นทุน วันนี้สัดส่วนการลงทุนในต่างประเทศ 64% ในไทยเพียง 36% วันหน้าไม่เกิน 3 ปี จะเห็นสัดส่วนการลงทุนในต่างประเทศเพิ่มเป็น 70% ในไทยลดเหลือ 30% แน่นอน

Q : ซีพีเอฟไปลงทุนในเยอรมนี

ไปซื้อกิจการของปีเตอร์ พอลเซ่น เนื่องจากบริษัทนี้มีไลเซนส์และราคาถูกกว่าอีกบริษัท เขาส่งออกปีหนึ่ง 6,000 ตัน เราจะเพิ่มยอดเราก็ต้องซื้อไลเซนส์ อยู่ที่ใครซื้อไลเซนส์ใครและต้องดูว่าสอดคล้องกับเราไหม ส่วนหนึ่งคือเราต้องการลดต้นทุน ซึ่งในอนาคตที่สำคัญมากคือเรื่องโลจิสติกส์ ส่งของไปขายต่างประเทศบางทีค่าขนส่งแพงมาก ดังนั้น ไปซื้อกิจการประเทศต่าง ๆ ไว้ ค่อย ๆ สร้างธุรกิจขึ้นมา จะทำให้การส่งออกไปต่างประเทศสะดวกขึ้น เช่น เราลงทุนในโปแลนด์ สามารถส่งเข้าไปในยุโรปได้หมดทุกประเทศ และไม่ต้องเสียภาษี

Q : ปัจจัยที่จะกระทบการลงทุนปีหน้า

เราทำเรื่องอาหารการกิน การเมืองไม่ใช่สาเหตุ กระทบเราน้อยมาก การค้าที่น่ากลัวสำหรับเราคือโรคระบาด นอกนั้นไม่เป็นปัญหา