ผู้จัดการกองทุน 26 สำนัก มองหุ้นไทยไตรมาส 2-4 ที่ 1,508-1,721 จุด

นายสมบัติ นราวุฒิชัย

สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน เผยผลสำรวจความเห็นนักวิเคราะห์-ผู้จัดการกองทุน 26 สำนัก คาดไตรมาส 2-4 หุ้นไทยแกว่งตัว 1,508-1,721 จุด ปิดสิ้นปี 1,707 จุด “เลือกตั้ง-ท่องเที่ยว-เศรษฐกิจฟื้น” ช่วยหนุนดัชนี

วันที่ 3 เมษายน 2566 นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA) เปิดเผยผลการสำรวจความเห็นสมาชิกนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุน รวม 26 สำนัก เกี่ยวกับมุมมองการลงทุนในไตรมาส 2-4 ของปี 2566 สรุปได้ดังนี้

จากสมมุติฐานหลัก มีการปรับลดราคาน้ำมันดิบของปีนี้ จาก 87.22 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล มาเป็น 83.04 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และลดคาดการณ์ การขยายตัวของ GDP ไทยปี 2566 จากเดิมที่ 3.60% ลงมาเหลือ 3.50%

อย่างไรก็ตาม ทิศทางการลงทุนในปี 2566 ยังได้ผลบวกที่ชัดเจนมาจาก 3 ปัจจัยหลัก คือ เศรษฐกิจภายในประเทศ โดยมีผู้โหวตถึง 92% และปัจจัยด้านการเมืองในประเทศ มีผู้โหวต 85% ตามมาด้วยผลประกอบการ บริษัทจดทะเบียน (บจ.) ปี 2566 มีผู้โหวต 73%

ในส่วนปัจจัยด้านลบ มาจากปัจจัยผลกระทบจากธนาคารในสหรัฐอเมริกาล้ม ผู้ตอบทั้งหมดเทคะแนนให้อย่างชัดเจนถึง 96% ว่าเป็นผลลบ รองลงมาด้านเศรษฐกิจต่างประเทศ และการลดหรือยุติมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ของประเทศสำคัญทั่วโลก มีผู้ตอบเท่ากันที่ 85%

สำหรับปัจจัยที่ควรจับตามองที่มีผลต่อการขับเคลื่อนตลาดในไตรมาส 2 ผู้ตอบส่วนใหญ่มองว่าการเลือกตั้งภายในประเทศ และการจัดการของธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ต่อปัญหาสถาบันการเงินและนโยบายดอกเบี้ยด้านการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในช่วงเมษายนถึงสิ้นปี 2566 มีนักวิเคราะห์ถึง 61.54% ที่คาดว่าจะคงที่ ส่วนที่เหลือ 38.46% มองว่าปรับขึ้นอีก 0.25%

ทั้งนี้ คาดการณ์กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ปี 2566 ของตลาดเฉลี่ยที่ 95.77 บาทต่อหุ้น ปรับลดจากผลสำรวจครั้งก่อน ซึ่งอยู่ที่ 105.34 บาทต่อหุ้น และครั้งนี้คาดการณ์ EPS Growth ของปี 2566 อยู่ที่ 13.02%

ทางด้านคาดการณ์ SET Index ในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2566 นั้น มีผู้โหวต 50% มองเป็นทิศทางบวก ที่คาดว่าจะเป็น Sideways มีผู้โหวต 30.77% และมองว่าดัชนีจะมีทิศทางลบมีเพียง 19.23% ส่วนคาดการณ์ SET Index ณ สิ้นไตรมาส 2 อยู่ที่ 1,642 จุด

ส่วนมุมมองจากไตรมาส 2 ไปถึงสิ้นปี คาดว่า SET Index จะแกว่งตัวในกรอบ 1,508-1,721 จุด และคาดการณ์ว่าสิ้นปี 2566 จะปิดที่ 1,707 จุด

นักวิเคราะห์แนะนำให้กระจายพอร์ตการลงทุน แบ่งเป็น

– เงินสดและเงินฝากระยะสั้น 18.63%
– กองทุนตราสารหนี้ 14.06%
– หุ้นไทยหรือกองทุนหุ้นไทย 27.39%
– หุ้นหรือกองทุนหุ้นต่างประเทศ 22.92%
– กองทุนอสังหาฯหรือ REIT 7.31%
– ทองคำหรือกองทุนทองคำ 8.63%
– ส่วนอื่น ๆ เช่น กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน น้ำมัน 1.06%

โดยความเห็นต่อการลงทุนหุ้นต่างประเทศ/กองทุนหุ้นต่างประเทศ แนะนำกองทุนหุ้นจีนและเอเชีย จากการเปิดกิจกรรมเศรษฐกิจกลับมาเป็นปกติ

สำหรับในการลงทุนหุ้นไทยนั้น แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหมวดธุรกิจ ค้าปลีก การท่องเที่ยว เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ในขณะที่ให้ลดน้ำหนักการลงทุนในหมวดธุรกิจ ไฟแนนซ์ (nonbank) ปิโตรเคมี พลังงาน และสาธารณูปโภค

รายชื่อหุ้นที่นักวิเคราะห์แนะนำ โดยมีจำนวนสำนักวิเคราะห์แนะนำตรงกันตั้งแต่ 5 สำนักขึ้นไป มีดังนี้

1.ADVANC คาดผลประกอบการปีนี้กลับมาเติบโตได้ดีใน 2566 หลังจากแนวโน้มการแข่งขันที่ลดลง รวมถึงการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจในประเทศที่พื้นตัว

2.AMATA มองว่าเรามองผลประกอบการจะเติบโตได้ดีในปี 2566 ตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่กลับมา และอุปสงค์ที่แข็งแกร่งจากการย้ายฐานการผลิตจากจีน อีกทั้งธุรกิจสาธารณูปโภคมีการเพิ่มอุปทานรองรับการผลิตที่ฟื้นตัว

3.AOT มองว่าได้ประโยชน์จากนักท่องเที่ยวเข้ามาต่อเนื่อง หนุนกำไร โดยเฉพาะจีนเปิดประเทศและเข้าตารางบินฤดูร้อน ทั้งยังมีแผนการขยายสนามบินในอนาคต

4.BBL รับประโยชน์สูงสุดจากดอกเบี้ยนโยบายที่ปรับขึ้น สินเชื่อโตต่อเนื่องตามภาพการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

5.CPALL ปัจจัยสนับสนุนจากการบริโภคภายในประเทศและการท่องเที่ยวที่พื้นตัว การขยายสาขาหนุนกำไรปีนี้โตต่อเนื่อง

นายสมบัติกล่าวต่อว่า ทางด้านนักวิเคราะห์ยังได้เพิ่มเติมการแนะนำไปยังพรรคการเมืองเกี่ยวกับนโยบายที่จะมีผลบวกต่อภาวะเศรษฐกิจ คุ้มค่ากับผลกระทบทางงบประมาณ โดยส่วนใหญ่กล่าวถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งในระยะสั้นและระยะยาว แยกเป็นการเร่งลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและการลงทุนภาครัฐที่หนุนศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจ รวมทั้งลดการใช้จ่ายภาครัฐและการกู้เพิ่ม

ถัดมาแนะให้มีนโยบายช่วยเหลือภาคประชาชน ได้แก่ ชะลอการเก็บภาษีหุ้น สนับสนุนการออมเงิน และนำกองทุน LTF กลับมา อีกทั้งต้องกระตุ้นการจ้างงานในประเทศ และตามมาด้วย นโยบายกระตุ้นการลงทุน สนับสนุนการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย หามุมมองใหม่ช่วยดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ และขยายตลาดสินค้าไทย

ด้านนายวิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการอาวุโสและนักกลยุทธ์การลงทุน ฝ่ายวิจัย บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยยังมีความน่าสนใจอยู่ จะเห็นได้จากการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวขึ้นอย่างชัดเจน ตัวเลขนักท่องเที่ยวเริ่มทยอยกลับเข้ามาเรื่อย ๆ โดยคาดว่าตัวเลขนักท่องเที่ยวจะกลับมาเพิ่มขึ้นเท่าช่วงก่อนโควิดที่ 40 ล้านคนในได้ในปี 2567

แต่ตลาดหุ้นไทยถูกกดดันจากปัจจัยภายนอกโดยเฉพาะเรื่องดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งจากราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้เงินเฟ้อปรับสูงขึ้นตามไปด้วย จะส่งผลต่อการตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ยได้ ซึ่งปัจจุบันยังไม่เห็นความชัดเจนว่าเฟดจะหยุดขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้ เพราะเงินเฟ้อยังคงสูง

โดยคาดว่าเฟดน่าจะยังคงปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก แต่อาจจะขึ้นได้ไม่มากประมาณ 0.25-0.5% และสิ้นปีดอกเบี้ยน่าจะอยู่ที่ระดับ 5.25% ซึ่งการที่มองว่าเฟดไม่น่าจะขึ้นดอกเบี้ยเยอะเพราะอาจจะส่งผลกระทบกลุ่มธนาคารได้อีก ซึ่งตอนนี้ก็เป็นปัจจัยที่ตลาดก็ยังกังวลอยู่ ว่าจะเกิดเหตุการณ์ธนาคารอีกไหม แต่เชื่อว่าหากเกิดขึ้นอีกหน่วยงานต่าง ๆ น่าจะสามารถควบคุมได้

“ในส่วนของประเด็นการเลือกตั้ง จากสถิติในอดีต 20 ปีย้อนหลังพบว่า ก่อนเลือกตั้ง 1 เดือนหุ้นไทยจะปรับตัวขึ้นประมาณ 1% ส่วนหลังเลือกตั้งไปแล้วหุ้นไทยจะบวกขึ้นประมาณ 3-5% ซึ่งขณะนี้เชื่อว่านักลงทุนไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนต่างประเทศ สถาบันหรือบุคคล ต่างชะลอการลงทุนเพื่อรอดูความชัดเจนของการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น รอดูเรื่องของนโยบายทางเศรษฐกิจซึ่งเป็นสิ่งที่หลายคนคาดหวังในการเลือกตั้งใหญ่ครั้งนี้” นายวิจิตรกล่าว