ราคาสินทรัพย์ทางการเงินครัวเรือนไทยโตช้าในรอบหลายปี รับผลกระทบเงินเฟ้อ

อลิอันซ์ เปิด “Allianz Global Wealth Report” ฉบับที่ 14 วิเคราะห์สถานการณ์สินทรัพย์และหนี้สินของครัวเรือนในเกือบ 60 ประเทศทั่วโลก ชี้ปี 2566 เป็นปีที่ย่ำแย่ ส่วนปี 2565 “ทุกอย่างตกต่ำ” สินทรัพย์ทางการเงินของครัวเรือนทั่วโลก สูญเสียไปมูลค่า 6.6 ล้านล้านยูโร ลดลงมากที่สุดนับตั้งแต่วิกฤตการณ์การเงินโลกในปี 2551 ประเทศไทยเติบโตช้าในรอบหลายปี รับผลกระทบเงินเฟ้อ คาดสินทรัพย์ทางการเงินทั่วโลกมีแนวโน้มกลับมาโต 4-5% ในอีก 3 ปีข้างหน้า

วันที่ 11 ตุลาคม 2566 อลิอันซ์ (Allianz) ได้เผยแพร่ “Allianz Global Wealth Report” ฉบับที่ 14 วิเคราะห์สถานการณ์สินทรัพย์และหนี้สินของครัวเรือนในเกือบ 60 ประเทศทั่วโลก ระบุปี 2566 เป็นปีที่ย่ำแย่ โดยปี 2565 เป็นปีที่ไม่ดีสำหรับผู้มีเงินออม ราคาสินทรัพย์ลดลงทุกกลุ่มภายใต้สถานการณ์ที่อาจเรียกได้ว่า “ทุกอย่างตกต่ำ” สินทรัพย์ทางการเงินของครัวเรือนทั่วโลกลดลงถึง 2.7%

ซึ่งถือว่าลดลงมากที่สุดนับตั้งแต่วิกฤตการณ์การเงินโลกในปี 2551 อัตราการเติบโตของสินทรัพย์หลักทั้ง 3 ประเภท แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะเป็นหุ้น (-7.3%) และประกันภัย/บำนาญ (-4.6%) หดตัวอย่างมาก ขณะที่เงินฝากธนาคารเติบโตอย่างแข็งแกร่งที่ 6.0% ความสูญเสียโดยรวมเท่ากับสินทรัพย์ทางการเงินมูลค่า 6.6 ล้านล้านยูโร สินทรัพย์ทางการเงินรวมอยู่ที่ 233 ล้านล้านยูโร ณ สิ้นปี 2565 ที่ 63.9 ล้านล้านยูโร หรือ 27% อยู่ในภาคครัวเรือนในเอเชีย

ประเทศไทย เติบโตในระดับปานกลาง

สินทรัพย์ทางการเงินรวมของครัวเรือนไทยเพิ่มขึ้นเพียง 2.1% ในปี 2565 ซึ่งต่ำกว่าการเพิ่มขึ้น 9.7% ในปีก่อนอย่างเห็นได้ชัด สาเหตุหลักคือ การลดลงของสินทรัพย์ต่าง ๆ อาทิ สินทรัพย์ประกัน/บำนาญ ซึ่งสูญเสียมูลค่ากว่า 3.5% เป็นการลดลงครั้งแรกในศตวรรษนี้ หุ้นก็น่าผิดหวังเช่นกัน

โดยเติบโตลดลงจาก 26.4% (ปี 2564) เป็น 3.1% ในปีที่แล้ว อย่างไรก็ตาม เงินฝากธนาคาร ซึ่งมีส่วนแบ่งพอร์ตการลงทุนมากกว่า 50% และเป็นประเภทสินทรัพย์หลักในประเทศไทยยังทรงตัว โดยเติบโตขึ้น 3.6% (ปี 2564: 4.0%) เมื่อเทียบกับปีก่อนเกิดโรคระบาดในปี 2562 สินทรัพย์ทางการเงินสูงขึ้น 20.8% แต่เป็นในเชิงตัวเลขเท่านั้น เมื่อปรับตามอัตราเงินเฟ้อแล้ว การเพิ่มขึ้นจะลดลงเฉลี่ย 13.5% ใน 3 ปี

ขณะที่การเติบโตของหนี้สินชะลอตัวลงเล็กน้อยเป็น 3.7% เทียบกับ 3.9% ในปี 2564 จึงทำให้อัตราส่วนหนี้สินต่อ GDP ลดลง 3 จุด อยู่ที่ 87% ซึ่งยังคงสูงกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาคที่ 26 จุด โดยสินทรัพย์ทางการเงินสุทธิเกือบจะทรงตัว (+0.5%) ด้วยสินทรัพย์ทางการเงินสุทธิต่อหัวที่ 5.11 พันล้านยูโร ทำให้ประเทศไทยวันนี้ยังคงอยู่ในอันดับที่ 45 ในการจัดอันดับประเทศที่ร่ำรวยที่สุด

ด้านอเมริกาเหนือมีอัตราการเติบโตลดลงมากที่สุด หรือลดลง 6.2% ตามมาด้วยยุโรปตะวันตก (4.8%) ในทางกลับกัน เอเชียยังคงมีอัตราการเติบโตที่ดี โดยค่าเฉลี่ยของภูมิภาคอยู่ที่ 4.6% ในปี 2565 เทียบกับ 10.2% ในปี 2564

แม้แต่ญี่ปุ่นยังมีอัตราการเติบโตที่เพิ่มขึ้น แม้ว่าจะเล็กน้อยมาก (0.2%) ในทางตรงกันข้าม ประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ อย่างอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ มีการเติบโตเป็นเลขสองหลัก สินทรัพย์ทางการเงินของจีนเติบโตอย่างแข็งแกร่งเช่นกัน โดยสูงถึง 6.9% แต่ในปีที่แล้วสูงขึ้น 13.3% และมีค่าเฉลี่ยระยะยาวในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา อยู่ที่ 15.9% ถือเป็นการเติบโตที่ค่อนข้างน่าผิดหวัง โดยเป็นผลจากการล็อกดาวน์หลายครั้ง

แม้จะขาดทุนอย่างหนัก แต่สินทรัพย์ทางการเงินในครัวเรือนทั่วโลกยังคงสูงกว่าช่วงก่อนโควิดเกือบ 19% ณ สิ้นปีที่แล้ว ในเชิงตัวเลข เมื่อปรับตามอัตราเงินเฟ้อ เกือบ 2 ใน 3 ของการเติบโต (เชิงตัวเลข) ได้รับผลกระทบจากการเพิ่มขึ้นของราคา

และส่งผลให้การเติบโตที่แท้จริง ลดลงเหลือเพียง 6.6% ภายใน 3 ปี ขณะที่ภูมิภาคส่วนใหญ่ของโลกสามารถรักษาอัตราการเติบโตได้อย่างแท้จริง ยุโรปตะวันตกไม่ได้เป็นเช่นนั้น โดยกำไรที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยไม่ได้มีความหมายอะไรเลย และความมั่งคั่งที่แท้จริงลดลง 2.6% เมื่อเทียบกับปี 2563 เอเชียมีการเติบโตที่แท้จริงเกือบ 20% ในช่วง 3 ปี จากอัตราเงินเฟ้อที่ลดลง ไม่เว้นแม้กระทั่งในจีนและญี่ปุ่น

นายลูโดวิค เซอร์บราน หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของอลิอันซ์ กล่าวว่า “ศัตรูที่แท้จริงของเงินออมคือ เงินเฟ้อ ไม่เฉพาะแต่เงินเฟ้อที่เกิดขึ้นตั้งแต่หลังโควิดที่พุ่งสูงขึ้น ในประเทศไทย การเติบโตเชิงตัวเลขและการเติบโตที่แท้จริงแตกต่างกันอย่างมาก

สินทรัพย์ต่อประชากรเพิ่มขึ้น 390% หากไม่นับอัตราเงินเฟ้อในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา เมื่อปรับตามกำลังซื้อ สินทรัพย์ต่อประชากรเพิ่ม 150% แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นในการออมอย่างชาญฉลาดและความเท่าทันทางการเงิน แต่ภาวะเงินเฟ้อเป็นเหมือนมารร้ายที่ยากจะเอาชนะได้ หากไร้การกระตุ้นเตือนและคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญเพื่อการออมในระยะยาว ผู้มีเงินออมส่วนใหญ่อาจประสบปัญหา”

มาตรการรัดเข็มขัด

การฟื้นตัวของอัตราดอกเบี้ยส่งผลอย่างชัดเจนในด้านหนี้สินของงบดุลครัวเรือน หลังจากที่หนี้ภาคเอกชนทั่วโลกเพิ่มขึ้น 7.8% ในปี 2564 การเติบโตก็ลดลงอย่างมากในปีที่แล้ว ที่ 5.7% ในเอเชีย การเติบโตของหนี้ลดลงเกือบครึ่งหนึ่ง จาก 10.3% (ปี 2564) เป็น 5.8% (ปี 2565) การลดลงอย่างรวดเร็วที่สุดเกิดขึ้นในประเทศจีน

โดยการเติบโตของหนี้ในปีที่แล้วที่ 5.4% ถือเป็นการเติบโตที่ต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์ โดยรวมแล้ว หนี้สินในครัวเรือนทั่วโลกมีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 55.8 ล้านล้านยูโร ณ สิ้นปี 2565 โดย 32% หรือ 18.1 ล้านล้านยูโรอยู่ในภาคครัวเรือนเอเชีย เนื่องจากช่องว่างระหว่างหนี้และการเติบโตทางเศรษฐกิจกว้างขึ้นเป็น 3.9 จุด อัตราส่วนหนี้สินต่อ GDP ทั่วโลก (หนี้สินคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของ GDP) จึงลดลงอย่างมีนัยสำคัญมากกว่า 2 จุด เป็น 66% ในปี 2565

ซึ่งหมายความว่าอัตราส่วนหนี้สินทั่วโลกสำหรับครัวเรือนส่วนบุคคลกลับมาอยู่ในระดับเดียวกับตอนต้นสหัสวรรษ ซึ่งเป็นระดับความมั่นคงที่น่าทึ่งซึ่งแทบจะไม่สอดคล้องกับความเชื่อที่ว่าทั่วโลกกำลังจมอยู่กับหนี้ อย่างไรก็ตามมีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในภาวะหนี้ของโลก

ประการแรกและสำคัญที่สุดคือ ประเทศที่พัฒนาแล้วมีเสถียรภาพในลักษณะของการพัฒนา ในทางกลับกัน ตลาดเกิดใหม่ส่วนใหญ่มีอัตราส่วนหนี้สินเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา ในเอเชียโดยรวม อัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ 61% ณ สิ้นปี 2565 ซึ่งสูงกว่าระดับเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ประมาณ 7 จุด ค่าเฉลี่ยนี้แสดงถึงการพัฒนาที่น่าทึ่งบางประการ ตัวอย่างเช่น ในประเทศจีน อัตราส่วนหนี้สินสูงขึ้นมากกว่า 3 เท่าอยู่ที่ 61%

สินทรัพย์ทางการเงินสุทธิทั่วโลก ลดลงอย่างมากถึง 5.2% อยู่ที่ 176 ล้านล้านยูโร อย่างไรก็ตาม เอเชียเพิ่มขึ้น 4.2% เป็น 46 ล้านล้านยูโร แต่ไม่ใช่ทุกประเทศในภูมิภาคนี้ที่จะเห็นการเติบโตเชิงบวกหลังเกิดหนี้สิน ในญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และมาเลเซีย สินทรัพย์ทางการเงินสุทธิลดลง แม้จะแค่เล็กน้อยก็ตาม