ก.ล.ต.ลงโทษอดีต 2 ผู้บริหาร BIG กรณีอาศัยข้อมูลภายในซื้อหุ้น สั่งปรับ 6.25 ลบ.แบล็กลิสต์ 1 ปี

สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่าได้ดำเนินคดีด้วยมาตรการลงโทษทางแพ่งกับกรรมการและผู้บริหารของบริษัท บิ๊ก คาเมร่า คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (BIG) รวม 2 ราย ได้แก่ (1) นายธนสิทธิ์ เธียรกาญจนวงศ์ และ (2) นายชิตชัย เธียรกาญจนวงศ์ กรณีซื้อหุ้น BIG โดยอาศัยข้อมูลภายใน โดยเรียกให้ชำระค่าปรับทางแพ่งและส่งคืนผลประโยชน์รวม 6,250,075.80 บาท นอกจากการถูกลงโทษด้วยมาตรการลงโทษทางแพ่งดังกล่าว ก.ล.ต. ยังสั่งห้ามมิให้นายธนสิทธิ์และนายชิตชัยเป็นกรรมการหรือผู้บริหารของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์และบริษัทจดทะเบียนเป็นเวลา 1 ปี ด้วย

ทั้งนี้ ก.ล.ต.ได้รับข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) จึงตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่า นายธนสิทธิ์ ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการผู้จัดการ และนายชิตชัย ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการและผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการของ BIG ได้ทราบข้อมูลยอดขายสินค้าที่เพิ่มขึ้นในปี 2558 และที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงปลายปีดังกล่าว ทำให้สามารถคาดการณ์แนวโน้มผลกำไรของ BIG ในปี 2558 ได้ว่าจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และนายธนสิทธิ์ และนายชิตชัย ได้ใช้ประโยชน์จากข้อมูลดังกล่าว โดยได้ซื้อหุ้น BIG ในบัญชีของตนเอง จำนวน 2,620,000 หุ้น และ 3,858,100 หุ้น ตามลำดับ ก่อนที่ BIG จะมีการเปิดเผยงบการเงินประจำปี 2558 ที่แสดงผลกำไรสุทธิ 459.52 ล้านบาท ต่อประชาชนเป็นการทั่วไปผ่านระบบของตลาดหลักทรัพย์ฯ ในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2559

ขณะที่การกระทำของนายธนสิทธิ์และนายชิตชัย เป็นการซื้อหลักทรัพย์โดยอาศัยข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงราคาของหลักทรัพย์ที่ยังไม่ได้เปิดเผยต่อประชาชน เข้าข่ายเป็นการเอาเปรียบต่อบุคคลภายนอก เป็นความผิดตามมาตรา 241 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ซึ่งมีระวางโทษอาญาตามมาตรา 296 และมาตรา 296/2 และมาตรการลงโทษทางแพ่งตามมาตรา 317/1 มาตรา 317/4 และมาตรา 317/5 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2559

โดยคณะกรรมการพิจารณามาตรการลงโทษทางแพ่ง (ค.ม.พ.) นำมาตรการลงโทษทางแพ่งมาบังคับใช้กับผู้กระทำผิด และผู้กระทำผิดทั้ง 2 ราย ได้ทำบันทึกยินยอมรับมาตรการลงโทษทางแพ่งและปฏิบัติตามบันทึกยินยอมดังกล่าวครบถ้วนแล้ว ดังนี้ (1) นายธนสิทธิ์ ชำระค่าปรับทางแพ่ง จำนวน 1,366,085 บาท และส่งคืนผลประโยชน์จำนวน 1,187,900 บาท และ (2) นายชิตชัยชำระค่าปรับทางแพ่ง จำนวน 1,976,978.80 บาทและส่งคืนผลประโยชน์จำนวน 1,719,112 บาท ซึ่งเงินค่าปรับทางแพ่งและเงินค่าชดใช้คืนผลประโยชน์ที่ได้รับจากการกระทำผิด เป็นรายได้แผ่นดินที่ ก.ล.ต. จะนำส่งกระทรวงการคลังต่อไป

นอกจากการถูกลงโทษด้วยมาตรการลงโทษทางแพ่งดังกล่าว ก.ล.ต. สั่งห้ามมิให้นายธนสิทธิ์และนายชิตชัยเป็นกรรมการหรือผู้บริหารของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์และบริษัทจดทะเบียน เป็นเวลา 1 ปีด้วย