“ทิพย” ลุยประกันบิ๊กโปรเจ็กต์รัฐ โฟกัส “อีอีซี-รางคู่” ปักธงเบี้ยรับปี’63 โต 5%

สมพร สืบถวิลกุล

“ทิพยประกันภัย” ตั้งแท่นปีหน้าลุยรับประกันภัย “เมกะโปรเจ็กต์รัฐ” ปักธงเบี้ยรับรวมปี”63 โตไม่ต่ำกว่า 5% โฟกัสโครงการลงทุนใน “อีอีซี-รถไฟรางคู่” ประเมินปีหน้าอุตสาหกรรมประกันวินาศภัยโต 2-3% ส่อแพ่งตัดราคาเดือด ขณะที่ผลประกอบการบริษัทมั่นใจปีนี้โกยเบี้ยรับ 2.2 หมื่นล้านบาท พร้อมยัน “3 เขื่อนใน สปป.ลาว” ที่บริษัทรับประกันอยู่ยังไม่มีรายงานความเสียหายจากแผ่นดินไหว

นายสมพร สืบถวิลกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ทิพยประกันภัย (TIP) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ในปี 2563 บริษัทตั้งเป้าเบี้ยประกันภัยรับจะเติบโตได้ไม่น้อยกว่า 5% จากปี 2562 นี้ที่คาดว่าเบี้ยประกันภัยจะทำได้ที่ 2.2 หมื่นล้านบาท เติบโต 5% จากปีก่อน โดยบริษัทกำลังเตรียมความพร้อมเข้าไปเป็นผู้รับประกันภัยโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐที่จะเกิดขึ้นในปี 2563 เนื่องจากปีหน้าจะมีการลงทุนค่อนข้างมาก ซึ่งหลายโครงการก็เลื่อนการลงทุนไปจากปีนี้ โดยให้ทีมงานมอนิเตอร์โครงการรถไฟรางคู่ และโครงการเขตพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) รวมถึงเตรียมพร้อมเสนอตัวเป็นผู้รับประกันภัยในโครงการต่าง ๆ ของภาคเอกชนด้วย เนื่องจากภาคเอกชนที่มีคอนเน็กชั่นกับนักลงทุุนต่างประเทศเริ่มมีแนวโน้มเข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น

“เราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการรับประกันภัยโครงการขนาดใหญ่อยู่แล้ว ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทจะได้เข้าไปรับประกันเกือบทุกโครงการ แม้ว่าจะเป็นการประกันภัยร่วม แต่ก็อาจจะได้สัดส่วนการรับประกันมากกว่าบริษัทประกันภัยรายอื่น ๆ เนื่องจากบริษัทมีความชำนาญและเชี่ยวชาญพร้อมทั้งได้แรงหนุนจากพันธมิตรอย่างบริษัทประกันภัยต่อ (รีอินชัวเรอร์ส) ค่อนข้างดี”

ทั้งนี้ ปัจจุบันความสามารถในการรับประกันภัย (capacity) โครงการขนาดใหญ่ของบริษัทอยู่ที่ประมาณ 3,000 ล้านบาท แต่โครงการส่วนใหญ่ที่รับประกันอยู่ก็จะมีมูลค่าเป็นหมื่นล้านบาทและแสนล้านบาท โดยการเข้าไปรับประกันภัยแต่ละครั้งบริษัทจะมีการทำประกันภัยต่อไปต่างประเทศเกือบ 80-90% ของความเสี่ยงทั้งหมดที่มี

โดยนโยบายการดำเนินธุรกิจของบริษัทในปีหน้า จะยังคงรักษาพอร์ตการรับประกันภัยรถยนต์ (มอเตอร์) ไว้ไม่ให้เกิน 30% จากปัจจุบันมีสัดส่วนอยู่ที่ 18% ซึ่งถือว่ายังมีช่องว่างอยู่พอสมควร โดยปีหน้าภาวะเศรษฐกิจที่น่าจะยังซึม จะยังเป็นความท้าทายของบริษัทประกันภัย ซึ่งคาดว่าบริษัทประกันภัยหลายแห่งจะหันมาแข่งขันเรื่องราคามากขึ้น ทั้งนี้ ภาพรวมธุรกิจประกันวินาศภัยในปี 2563 คาดว่าน่าจะมีโอกาสเติบโตได้ประมาณ 2-3% เมื่อเทียบกับสิ้นปีนี้ที่น่าจะโตเฉลี่ยอยู่กว่า 1% เท่านั้น

“พอเศรษฐกิจมันฝืดตัวมากขึ้น ธุรกิจประกันภัยก็อยากจะได้เบี้ย ก็จะแข่งด้านราคา ซึ่งจะเป็นสิ่งที่เป็นความท้าทายและเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุด เพราะว่าจริง ๆ แล้วราคาเบี้ยทุกวันนี้ ก็แข่งกันจนต่ำติดดินแล้ว หากยังไปแข่งราคากันอีกอาจจะมีบริษัทประกันที่ร่อแร่เพิ่มขึ้น แต่สำหรับทิพยประกันภัยเราจะเน้นให้บริการที่ดี จากความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ที่มาก เชื่อว่าจะสามารถให้คำแนะนำลูกค้า ก็น่าจะสามารถรักษาฐานลูกค้าไว้ได้ และน่าจะขยายฐานลูกค้าได้พอสมควรด้วย” นายสมพรกล่าว

นายสมพร กล่าวด้วยว่า สำหรับการรับประกันภัยเขื่อนใน สปป.ลาวที่เพิ่งเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวนั้น เมื่อเดือน ต.ค.ที่ผ่านมาบริษัทมีการเข้าไปรับประกันภัยเขื่อนใน สปป.ลาว 3 เขื่อน ประกอบด้วย 1.เขื่อนน้ำสะนา 2.เขื่อนน้ำคาน 2 และ 3.เขื่อนห้วยลำพันใหญ่ ซึ่งเบื้องต้นยังไม่ได้รับรายงานความเสียหาย แต่จะมีเขื่อนเซละบำที่อยู่ในโครงการรัฐวิสาหกิจไฟฟ้าลาว (EDL) ซึ่งรับประกันภัยไว้โดยทิพยประกันภัยลาว และได้ประกันภัยต่อมาให้บริษัทกว่า 80% ขณะที่บริษัทก็เก็บไว้แค่ 5% ที่เหลือส่งประกันภัยต่อในต่างประเทศ โดยได้รับรายงานว่า ได้รับความเสียหายจากเหตุน้ำท่วมเมื่อหลายเดือนก่อน แต่ความเสียหายยังไม่มาก ซึ่งจะต้องส่งทีมสำรวจภัยจากต่างประเทศเข้าไปตรวจสอบความเสียหายให้ชัดเจนก่อน

“หากความเสียหายเกินความเสียหายส่วนแรก (deductible) บริษัทก็พร้อมที่จะจ่าย แต่คาดว่าคงจะไม่เกิน ทางบริษัททิพยประกันภัยลาวจึงไม่ได้แจ้งอะไรเพิ่มเติม คงต้องรออีกสักระยะ” นายสมพรกล่าว