ราคาน้ำมันดิบปรับลด จากการทำกำไรของนักลงทุนก่อนการประกาศปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐ

– ราคาน้ำมันดิบอ่อนตัวลง จากการที่นักลงทุนขายทำกำไรก่อนการรายงานปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ โดยสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐฯ (EIA) ในวันนี้ ซึ่งนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะปรับตัวขึ้นราว 3.5 ล้านบาร์เรล หลังสถาบันปิโตรเลียมสหรัฐฯ (API) เผยปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ สัปดาห์สิ้นสุด ณ วันที่ 15 ก.ย. 60 ปรับขึ้น 1.4 ล้านบาร์เรล

– Valero Energy Corp เปิดเผยว่าบริษัทฯ ได้ปิดหน่วย Coker และอาจมีการปิดหน่วยผลิตอื่นๆ ต่อเนื่องที่โรงกลั่นขนาด 335,000 บาร์เรลต่อวัน ณ Port Arthur รัฐเท็กซัส หลังเกิดเหตุไฟไหม้บริเวณถังเก็บน้ำมันหนัก (Heavy oil) โดย Genscape รายงานว่าบริษัทฯ อาจต้องปิดหน่วยกลั่นน้ำมันดิบขนาด 75,000 บาร์เรลต่อวันเพิ่มเติม หลังพบว่าการทำงานของหน่วยผลิตดังกล่าวไม่สมบูรณ์

– นอกจากนี้ มีการคาดการณ์ว่าพายุเฮอร์ริเคน Maria จะไม่เข้าสร้างความเสียหายแก่ U.S. Gulf แต่กำลังมุ่งหน้าเข้าสู่เขตแคริบเบียน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการเดินเรือสมุทรและอาจส่งผลลบต่อความต้องการใช้น้ำมัน

+/- ตลาดยังคงจับตามองการประชุมกลุ่มโอเปกในวันศุกร์ที่จะถึงนี้ (22 ก.ย. 60) ซึ่งจะมีการหารือเกี่ยวกับการลดกำลังการผลิตเพิ่มเติมหลังเดือนมี.ค. 61 โดยคาดว่าในการประชุมครั้งนี้ รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานไนจีเรียและประธานบริษัทน้ำมันแห่งชาติของลิเบีย ซึ่งเป็นประเทศที่ได้รับการยกเว้นในการลดกำลังการผลิตในครั้งก่อนอาจเข้าร่วมประชุมด้วย อย่างไรก็ตาม รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานอิรักได้แสดงความคิดเห็นว่ายังคงเร็วไปที่จะหารือเกี่ยวกับข้อสรุปดังกล่าว

ราคาน้ำมันเบนซิน ปรับตัวลดลงมากกว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ โดยได้รับแรงกดดันหลังข้อมูลทางการจีนเผยตัวเลขการผลิตน้ำมันเบนซินปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.3 ในเดือนสิงหาคม ประกอบกับการส่งออกจากจีนที่ยังคงอยู่ในระดับสูง แม้ว่าสถานการณ์ภัยธรรมชาติในสหรัฐฯ ยังคงมีความรุนแรงอยู่ก็ตาม

ราคาน้ำมันดีเซล ปรับเพิ่มขึ้นสวนทางกับราคาน้ำมันดิบดูไบ โดยได้รับแรงสนับสนุนจากการที่ผู้ค้าน้ำมันดีเซลในภูมิภาคเอเชียสามารถส่งออกสินค้าไปจำหน่ายยังภูมิภาคตะวันตกได้เนื่องจากมีความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ แม้ว่าการผลิตและส่งออกน้ำมันดีเซลจากประเทศจีนจะอยู่ในระดับสูงก็ตาม

ไทยออยล์คาดการณ์ราคาน้ำมันดิบในสัปดาห์นี้

ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสเคลื่อนไหวในกรอบ 48-53 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

ราคาน้ำมันดิบเบรนท์เคลื่อนไหวในกรอบ 52-57 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

ปัจจัยที่น่าจับตามอง

ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ มีแนวโน้มจะปรับลดลง หลังโรงกลั่นในสหรัฐฯ ที่ได้รับผลกระทบจากพายุ Harvey ในตั้งแต่ช่วงปลายเดือนส.ค. ที่ผ่านมา เริ่มกลับมาดำเนินการอีกครั้ง หลังโรงกลั่นโดยส่วนใหญ่สามารถกลับมาดำเนินการกลั่นได้ อย่างไรก็ตาม ล่าสุด EIA รายงานปริมาณน้ำมันดิบคงคลังหรัฐฯ ปรับเพิ่มขึ้นราว 5.9 ล้านบาร์เรล มาอยู่ที่ระดับ 468.2 ล้านบาร์เรล เนื่องจากตัวเลขสะท้อนถึงความต้องการใช้น้ำมันที่ปรับลดลงในช่วงพายุ Harvey

ปริมาณน้ำมันดิบส่วนเกินในตลาดโลกคาดจะปรับลดลง หลังความต้องการใช้น้ำมันมีแนวโน้มเติบโตมากขึ้นและผู้ผลิตน้ำมันดิบกลุ่มโอเปกและนอกโอเปกยังคงเดินหน้าปรับลดกำลังการผลิตต่อเนื่อง ส่งผลให้ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว (OECD commercial stocks) ปรับลดลงมาอยู่ที่ระดับ 3,016 ล้านบาร์เรล ซึ่งมากกว่าระดับค่าเฉลี่ย 5 ปีเพียง 190 ล้านบาร์เรล โดนผู้ผลิตในกลุ่มโอเปกเพิ่มความร่วมมือในการปรับลดกำลังการผลิตมากขึ้นจาก 75% มาอยู่ที่ระดับ 82% ในเดือน ก.ค. ขณะที่ผู้ผลิตนอกกลุ่มโอเปกความร่วมมือปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 119% ในเดือนดังกล่าว ซึ่งนับเป็นการปรับเพิ่มสูงกว่าระดับ 100% เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่มีการปรับลดกำลังการผลิตมา

จับตาการประชุมระหว่างผู้ผลิตทั้งในและนอกกลุ่มโอเปกในวันที่ 22 ก.ย. ว่าจะมีการออกมาตรการสำหรับการปรับลดกำลังการผลิตเพิ่มเติมจากเดิมหรือไม่ โดยล่าสุดรัฐมนตรีของคูเวตกล่าวว่ากลุ่มผู้ผลิตอยู่ระหว่างการชักชวนผู้ผลิตนอกกลุ่มโอเปกเพิ่มเติมสำหรับการเข้าร่วมข้อตกลงในการปรับลดกำลังการผลิต