“ปรีดี ดาวฉาย” เปิดใจภารกิจ “ประธานสมาคมแบงก์” ยุคโควิด-19

“ปรีดี ดาวฉาย” ประธานสมาคมธนาคารไทยและในฐานะกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย ให้สัมภาษณ์ “BOT พระสยาม Magazine” เล่าถึงประสบการณ์และมุมมอง เส้นทางกว่า 35 ปีในธุรกิจธนาคาร กับวัฏจักรเศรษฐกิจโดยเฉพาะในยุคโรคระบาดโควิด-19 ที่ทุกคนได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม รวมถึงความพร้อมของธนาคารพาณิชย์ไทยในการรับมือกับภาวะวิกฤต และการปรับแนวคิดในการทำงานเพื่อก้าวสู่การเป็นธนาคารเพื่อความยั่งยืน

วิกฤตโควิด-19 วันนี้ยังไม่จบ

ประธานสมาคมธนาคารไทยกล่าวว่า “วิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ถือว่าเป็นวิกฤตใหญ่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับระบบการเงินไทย ก็นำมาซึ่งความโกลาหล ไม่รู้จะจัดการตรงไหนก่อน มีเหตุการณ์พลิกผันให้ต้องเปลี่ยนวิธีแก้ปัญหาตลอดเวลา เนื่องจากผมมีพื้นฐานด้านกฎหมายและมีประสบการณ์ในธุรกิจการธนาคาร จึงได้มาร่วมกับ ธปท. จัดทำกรอบการทำงานของคณะกรรมการส่งเสริมการปรับโครงสร้างหนี้ (CDRAC) รวมถึงปรับแก้ไขกฎระเบียบของระบบการเงินการธนาคารไทยครั้งใหญ่”

วิกฤตครั้งนั้นช่วยให้ภาครัฐและภาคเอกชน โดยเฉพาะภาคการเงินและการธนาคาร ได้เรียนรู้ร่วมกันจากข้อผิดพลาดต่าง ๆ จนนำไปสู่การกำหนดกฎเกณฑ์การกำกับดูแลสถาบันการเงินที่มีส่วนเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและความแข็งแกร่งของระบบสถาบันการเงินไทยมาถึงทุกวันนี้ อาทิ เกณฑ์การดำรงเงินกองทุน การบริหารความเสี่ยง การบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจของสถาบันการเงิน (Business Continuity Plan : BCP) และหลักธรรมาภิบาลในการดำเนินธุรกิจ

“ในฐานะคนทำงานวงการนี้กว่า 35 ปี ผมคงตอบลำบากว่าวิกฤตครั้งใดย่ำแย่ที่สุด แม้วิกฤตปี 2540 ถือว่ารุนแรงมาก แต่ยังเปรียบเทียบกับวิกฤตโควิด 19 ในวันนี้ไม่ได้ เพราะวิกฤตยังไม่จบ และส่งผลกระทบรุนแรงไม่น้อยไปกว่าเมื่อ 20 กว่าปีก่อน”

แบงก์ต้องเยียวยาลูกค้าทั้งช่วงเกิดวิกฤตและหลังวิกฤตสิ้นสุด

“ปรีดี” ฉายภาพว่า วิกฤตโควิด 19 กระทบต่อเศรษฐกิจในหลากหลายมิติ ทั้งมิติด้านอุปสงค์ในสินค้าและบริการที่หายไปแบบฉับพลัน เนื่องจากปัญหาด้านสาธารณสุขและมาตรการ “ปิดเมือง (lockdown)” ที่ส่งผลให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ลดลง และมิติด้านอุปทานทั้งในภาคการผลิตและภาคบริการที่หยุดชะงัก การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจให้ได้ผล จึงอาจต้องรอให้วิกฤตสาธารณสุขคลี่คลาย

“วิกฤตครั้งนี้ก็เป็นอะไรที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน อย่างไรก็ดี สมาคมธนาคารไทยได้จัดเตรียมแผนการจัดการภายใต้ภาวะวิกฤตและการบริหารความเสี่ยงร่วมกับ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ไว้ก่อนหน้านี้ จึงมีกระบวนการที่ชัดเจนว่าต้องทำอะไรบ้าง เพื่อให้บริการทางการเงินแก่ประชาชนได้อย่างต่อเนื่อง”

เนื่องจากธนาคารมีบทบาทสำคัญต่อภาคธุรกิจ จึงจำเป็นต้องมีแผนเยียวยาฟื้นฟูลูกค้าที่ได้รับผลกระทบ ทั้งในระหว่างที่วิกฤตดำเนินอยู่และหลังจากวิกฤตสิ้นสุดลง ซึ่งความยากลำบากของวิกฤตครั้งนี้คือ “ไม่มีใครรู้ว่าการแพร่ระบาดจะจบลงเมื่อไร” ดังนั้น ภาคธนาคารไทยจึงต้องร่วมมือกับ ธปท. อย่างใกล้ชิด เพื่อติดตามสถานการณ์และวางแผนให้ความช่วยเหลือลูกค้าอย่างเหมาะสมและทันการณ์

“ธนาคารพาณิชย์มีความสำคัญมากในโครงสร้างเศรษฐกิจ เพราะบทบาทสำคัญของธนาคาร คือ การรวบรวมเงินออมของประชาชน ภาคธุรกิจ และภาครัฐ แล้วนำมาจัดสรรสู่ระบบเศรษฐกิจและภาคอุตสาหกรรมที่มีความต้องการ ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้ก่อให้เกิดความเจริญแก่ประเทศ ขณะที่ภาวะวิกฤตธนาคารก็ยังสามารถทำหน้าที่เสมือนกลไกของภาครัฐ เพื่อช่วยเหลือธุรกิจและประชาชนให้ผ่านพ้นภาวะวิกฤตให้ได้”

ต้องบริหาร “ผลตอบแทน” กับ “ความเสี่ยง”

ประธานสมาคมธนาคารไทยกล่าวว่า การบริหารความสมดุลระหว่าง “ผลตอบแทน” กับ “ความเสี่ยง” เป็นเรื่องสำคัญของธุรกิจธนาคาร ธนาคารที่ยอมรับความเสี่ยงได้มาก ก็อาจมีผลตอบแทนสูง แต่หากเกิดความผันผวนหรือวิกฤต โอกาสจะยืนอยู่อย่างแข็งแกร่งก็ลดลง และอีกความท้าทายคือ ทำอย่างไรให้ธนาคารมีความสามารถในการแสวงหากำไรโดยไม่เอาเปรียบสังคม

ปัจจุบันการคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social, Governance: ESG) กลายเป็นปัจจัยสำคัญต่อความยั่งยืนของเศรษฐกิจ

“ความยั่งยืน” ยังหมายถึง การที่ธุรกิจสามารถมีผลกำไรและดำเนินการต่อไป โดยไม่ใช้ทรัพยากรของคนรุ่นต่อไปจนหมด ดังนั้นธนาคารในฐานะที่เป็นผู้จัดสรรทรัพยากรทุนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ จึงต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อความยั่งยืนทางสังคมและสิ่งแวดล้อม ด้วยการจัดสรรสินเชื่อให้กับองค์กรที่นำเงินไปลงทุนในกิจกรรมที่ไม่ส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อม สังคม รวมทั้งเป็นองค์กรที่มีธรรมาภิบาล

นอกจากนี้ ในการอนุมัติสินเชื่อ ธนาคารต้องมีหลักปฏิบัติเพื่อป้องกันไม่ให้เกิด conflict of interests โดยไม่ให้ผู้มีส่วนได้เสียหรือมีผลประโยชน์ เป็นผู้อนุมัติสินเชื่อ รวมถึงพัฒนาจรรยาบรรณของพนักงานในทุกระดับ สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้ความยั่งยืนเกิดขึ้นได้จริง

ผลึกความคิดจากประสบการณ์ชีวิตนักการธนาคาร

ในโลกยุคใหม่ที่เทคโนโลยีมีความก้าวหน้าและต้นทุนต่ำ ธุรกิจการธนาคารมีการแข่งขันรุนแรงมากขึ้นทั้งจาก “ผู้เล่นเดิม” และ “ผู้เล่นใหม่” เช่น กลุ่มสตาร์ตอัพด้านการเงิน (FinTech startup) กลุ่มเทคสตาร์ตอัพ (Tech startup) ธนาคารจึงจำเป็นต้องพร้อมปรับวิถีการดำเนินธุรกิจ เช่น ลดจำนวนสาขา เพิ่มการให้บริการผ่านสมาร์ตโฟน หรือเน้นการทำงานร่วมกับลูกค้ามากขึ้น ขณะเดียวกันธนาคารต้องพร้อมเปิดใจทำงานร่วมกับผู้เล่นรายอื่นและสตาร์ตอัพ เพราะนั่นหมายถึงประโยชน์ที่จะเกิดกับผู้ใช้บริการ และโอกาสในการพัฒนาธุรกิจธนาคารและระบบเศรษฐกิจให้เจริญเติบโตไปข้างหน้า

กุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่ความยั่งยืนขององค์กรคือ “วิสัยทัศน์” ของผู้บริหาร “ผู้บริหารที่มีวิสัยทัศน์จะมองออกว่าควรตัดสินใจอย่างไร และสามารถจัดการทุกเรื่องอย่างทันเวลาท่ามกลางโลกที่เปลี่ยนแปลงและพฤติกรรมของคนที่เปลี่ยนไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงวิกฤต”

เช่นเดียวกับที่ธนาคารต้องมีระบบและหลักเกณฑ์ในการบริหารความสมดุลระหว่าง “ความเสี่ยงและผลตอบแทน” การใช้ชีวิตก็ต้องมีการบริหารจัดการความเสี่ยงที่ดี และต้องตั้งอยู่บนความระมัดระวัง สอดคล้องกับแนวทางของหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่มีหัวใจสำคัญ 3 เรื่อง ได้แก่ “ความพอประมาณ” “ความมีเหตุมีผล” และ “การมีภูมิคุ้มกัน” ซึ่งเป็นหลักการที่ใช้ได้ดีในทุกยุคสมัย

ที่มา : BOT พระสยาม Magazine