ตลาดหุ้นเจอแรงขายก่อนปิดทำการ เหตุปัจจัยการเมืองในประเทศกดดัน

ภาพประกอบข่าวชุมนุมกดดัน SET Index

SET Index ปรับลงเล็กน้อย 1.25 จุด หลังนักลงทุนขายหุ้นทิ้งลดความเสี่ยงปัจจัยการเมืองในประเทศ นักวิเคราะห์แนะจับตาการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ-เหตุปะทะผู้ชุมนุมกับเจ้าหน้าที่อย่างใกล้ชิด

นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) เปิดเผยภาพรวมตลาดหุ้นไทยประจำวันที่ 17 พ.ย.63 ว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ SET (SET Index) ปิดที่ 1,349.81 จุด ปรับลง 1.25 จุด หรือปรับลง 0.09% และมีมูลค่าการซื้อขายรวม 90,085.63 ล้านบาท โดยภาพรวมของดัชนีในช่วงเช้าสามารถเคลื่อนไหวในแดนบวก จากแรงหนุนข่าวการทดสอบวัคซีนโควิด-19 ของ บริษัท โมเดอร์นา (Moderna) ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าวัคซีนของ บริษัท ไฟเซอร์ อิงค์ (Pfizer) อีกทั้งยังมีการเก็บรักษาและการขนส่งที่ง่ายกว่า

อย่างไรก็ดี เนื่องจากไม่ใช่ผลการทดสอบครั้งแรก ส่งผลให้ตลาดหุ้นภูมิภาค รวมถึงตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นตอบรับข่าววัคซีนโควิด-19 ครั้งนี้ไม่มากเท่าครั้งก่อน

ทั้งนี้ สำหรับมูลค่าการซื้อขายวันนี้แบ่งตามกลุ่มนักลงทุน พบว่า กลุ่มนักลงทุนในประเทศมียอดซื้อสุทธิมากที่สุด 2,089.44 ล้านบาท รองลงมาคือกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ 1,417.45 ล้านบาท ส่วนกลุ่มนักลงทุนสถาบันมียอดขายสุทธิมากที่สุดที่ 2,663.78 ล้านบาท และกลุ่มนักลงทุนบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ขายสุทธิ 842.10 ล้านบาท

นายวิจิตร กล่าวอีกว่า ในช่วงท้ายตลาดมีแรงขายลดความเสี่ยงออกมา หลังจากมีข่าวการปะทะกันระหว่างผู้ชุมนุมและเจ้าหน้าที่ โดยประเมินว่าการชุมนุมทางการเมืองในประเทศจะมีความยืดเยื้อ รวมถึงทั้งยังต้องติดตามการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญที่จะต่อเนื่องไปยังวันพรุ่งนี้ (18 พ.ย.) อย่างไรก็ดี เชื่อว่า SET Index สามารถยืนเหนือแนวรับที่ 1,340 จุดได้

Advertisment

“ตอนนี้บริเวณ 1,340 จุด เป็นแนวรับสำคัญที่เส้นค่าเฉลี่ย EMA 5 วัน และ 200 วัน มาบรรจบกัน โดยจะเห็นได้ว่าวันนี้แม้จะมีแรงขายในช่วงท้ายตลาดลงไปที่ 1,344 จุด แต่ท้ายที่สุดดัชนีกลับขึ้นมาปิดได้เกือบ 1,350 จุด ส่วนแนวต้านยังให้เป็นจุดสูงสุดเดิมของรอบนี้ที่ 1,365 จุด” นายวิจิตร กล่าว

นอกจากนี้ ในวันที่ 18 พ.ย.จะมีการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) โดยคาดว่า กนง.จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระดับต่ำต่อเนื่องไปอย่างน้อย 1 ปี อย่างไรก็ดี จากเครื่องยนต์เศรษฐกิจที่เริ่มกลับมาเป็นลบน้อยลง เช่น การบริโภคในประเทศ การลงทุนจากต่างประเทศ และการส่งออก รวมถึงการใช้จ่ายของภาครัฐที่เพิ่มขึ้น เหล่านี้คาดว่าจะเห็นสัญญาณการปรับมุมมองเศรษฐกิจเป็นโทนบวกมากขึ้นจาก กนง.

เมื่อสอบถามกลยุทธ์การลงทุนในตอนนี้ นายวิจิตร กล่าวว่า การลงทุนในหุ้นเริ่มลงทุนยากขึ้น เนื่องจากกลุ่มหุ้นขนาดใหญ่ (Big Cap) ถูกเวียนเล่นจนครบแล้ว อย่างไรก็ดี ฝ่ายวิจัยยังชื่นชอบกลุ่มพลังงาน ได้แก่ หุ้นโรงกลั่น TOP และหุ้นปิโตรเคมี PTTGC หากย่อตัวลงมาเป็นจังหวะในการเข้าซื้อ รวมถึง NRF และ SAWAD ที่สัญญาณกำไรไตรมาส 3 และ 4 ยังคงแข็งแกร่ง