ไปต่อแต่ต้องรอเวลา

คอลัมน์เติมความคิดพิชิตการลงทุน

โดย พรเทพ ชูพันธุ์ บล.ไทยพาณิชย์ จำกัด (SCBS)

หลายคนพูดถึง SET index ว่ากำลังจะทำจุดสูงสุดตลอดกาลได้ในปีหน้า (เดิมเคยสูงถึง 1,789 จุดตอนต้นปี 1994) ซึ่งที่จริงแล้วเรื่องสูงสุดตลอดกาลเป็นเพียงสิ่งสมมุติที่ตั้งขึ้นเพื่อความน่าตื่นเต้นเท่านั้น ในชีวิตประจำวันจุดสูงสุดตลอดกาล เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว เช่นราคาของสินค้าและบริการล้วนแต่มีการปรับขึ้นอยู่เรื่อย ๆ ทั้งสิ้น หรือ GDP (ผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ) ก็เติบโตเกือบทุกปี ช้าบ้างเร็วบ้างแล้วแต่สถานการณ์

ตราบใดที่อัตราเงินเฟ้อยังเป็นบวก ราคาสินค้าและบริการยังคงปรับเพิ่มขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป และเศรษฐกิจยังเติบโต รายรับของบริษัทต่าง ๆ จากการขายสินค้าและบริการ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจก็ย่อมปรับตัวสูงขึ้น ทั้งจากราคาและปริมาณ และทำจุดสูงสุดใหม่ในทุกปีอยู่แล้ว ซึ่งถ้าบริษัทไม่ได้อยู่ในภาวะแข่งขันสูงผิดปกติจนถึงกับต้องลดอัตรากำไรหรือยอมให้ profit margin ลดลง เม็ดเงินกำไรของบริษัทต่าง ๆ ก็จะทำจุดสูงสุดใหม่ขึ้นไปอย่างแน่นอน

นอกจากนี้บริษัทจดทะเบียนในตลาดก็มีแนวโน้มจะเติบโตได้ไม่แพ้เศรษฐกิจโดยรวม เพราะบริษัทจดทะเบียนมักเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายกว่า และถูกกว่าบริษัททั่วไปนอกตลาด เนื่องจากความน่าเชื่อถือสูงกว่า

Advertisment

พูดมาทั้งหมดนี้ เพื่อจะสื่อว่า การลงทุนในตลาดหุ้นนั้น ที่จริงมีแต้มต่อให้เราทำกำไรได้โดยมี “ระยะเวลาในการลงทุน” เป็นแรงส่งให้ผลประกอบการเติบโตไปได้ตามธรรมชาติ นักลงทุนระยะยาวจึงมี “เวลาที่ผ่านไป” เป็นเครื่องพาไปถึงจุดหมาย คือสร้างกำไรจากการลงทุนได้ไม่ยาก

แล้วทำไมหุ้นที่หลายคนลงทุนอยู่ถึงปรับตัวลง ? คำตอบอาจมี 2 ส่วน ส่วนแรกคือ เราลงทุนในระยะเวลาสั้นเกินไป ความผันผวนของราคาหุ้นอาจทำให้เกิดการขาดทุนชั่วคราว แต่ถ้าลงทุนนานพอจะเปิดโอกาสให้บริษัททำกำไรเติบโตขึ้นตามกาลเวลา ราคาหุ้นก็จะปรับตัวสูงขึ้นแน่นอน (ถ้าไม่ใช่หุ้นปั่น)

ส่วนที่สอง คือหุ้นที่เราได้มาอาจซื้อมาตอนที่ถูกดันราคาขึ้นมาสูงเกินควรแล้วหรือไม่ ซึ่งดูได้จาก price-to-earnings ratio (PE) เทียบกับอัตราการเติบโต เช่น หากเราซื้อหุ้นมาตอนที่ราคาอยู่ที่ PE ระดับ 50 เท่า ซึ่งต้องดูเทียบกับหุ้นอื่น ๆ ที่อยู่ในวัฏจักรหรือธุรกิจใกล้เคียงกัน (สมมุติว่า) มี PE ราว 25 เท่า แปลว่าราคาหุ้นที่เราได้มา ณ ระดับ PE สูง ๆ นั้นเสมือนเป็นราคาที่รับรู้ผลประกอบการที่เติบโตอีกเท่าตัวไปแล้ว ซึ่งหากบริษัททำผลประกอบการเติบโตได้อีกเท่าตัว ภายใน 1-2 ปีจริง ก็จะทำให้ PE ของบริษัทลดลงมาอยู่ที่ราว 25 เท่า ใกล้เคียงกับบริษัทอื่น ๆ ได้

ทำนองเดียวกัน ถ้าเราซื้อหุ้นมา ณ ระดับราคาที่ PE 75 เท่า ก็ต้องมีกำไรโตได้อย่างน้อย 3 เท่าในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า เพื่อทำให้ PE เข้าสู่ระดับที่ไม่โอเวอร์เกินไป ดังนั้น หุ้นที่ PE สูง ๆ จึงมาพร้อมกับความเสี่ยงสูง เพราะอนาคตเป็นสิ่งที่คาดเดายาก และหากทำกำไรเติบโตไม่ได้ตามความคาดหวัง ราคาหุ้นก็อาจร่วงลงแรง ๆ ได้ เห็นมั้ยครับ หุ้นดี ๆ ราคาก็ร่วงได้ ถ้าซื้อมาแพงเกินไป

Advertisment

สำหรับตลาดหุ้นภาพรวมในตอนนี้ ปัจจัยภายนอกต่าง ๆ หลายเรื่องมีความเอื้ออำนวยต่อการลงทุนในหุ้นมากขึ้น เช่น การเลือกตั้งก่อนกำหนดในญี่ปุ่น ความล่าช้าของการปฏิรูปภาษีของ ปธน.สหรัฐ การส่งสัญญาณลดการอัดฉีดสภาพคล่องของธนาคารกลางยุโรป ตลอดจนการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนที่จัดขึ้นทุก 5 ปี ซึ่งผลออกมาดีเกือบทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นพรรครัฐบาลญี่ปุ่นที่ได้รับเสียงข้างมากกว่า 2 ใน 3 (super majority) ทำให้สามารถทำนโยบายปฏิรูปประเทศ และกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างเต็มที่ ส่วนการปฏิรูปภาษีของสหรัฐ ก็มีความคืบหน้ามากขึ้น แม้อาจทำน้อยกว่าที่คาด และอาจไม่ทันปลายปีนี้ ส่วนธนาคารกลางยุโรปแม้จะประกาศลดการอัดฉีดสภาพคล่อง แต่จะไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยในเร็ว ๆ นี้ ส่วนผู้นำจีนก็ได้รับเสียงสนับสนุนให้มีอำนาจในการบริหารประเทศมากขึ้น และประกาศว่าจะเน้นการเติบโตแบบคุณภาพมากกว่าตัวเลขที่สูงเพียงอย่างเดียว จึงไม่แปลกที่จะเห็นหุ้นทั่วโลกปรับตัวขึ้นต่อเนื่องในเดือนที่ผ่านมา รวมทั้งตลาดหุ้นในบ้านเราที่ปรับตัวสูงขึ้นมายืนเหนือ 1,700 จุดได้ด้วย

ดังนั้นใครที่มีหุ้นพื้นฐานดี ที่ยังขาดทุนอยู่ ก็ยังไม่จำเป็นต้องขายในตอนนี้ โดยเฉพาะหุ้นเด่นที่เราเลือกเป็นหุ้นแนะนำไตรมาส 4 ปีนี้ที่ล้วนแต่มีเรื่องราวการเติบโตที่ดีในระยะยาว เพราะเกี่ยวเนื่องกับการเติบโตของประเทศที่กำลังเกิดขึ้นในตอนนี้ เช่นกลุ่มค้าปลีกที่เติบโตตามการบริโภคในประเทศ กลุ่มนิคมอุตสาหกรรมที่จะได้ประโยชน์ในระยะยาวจากการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก รวมทั้งหุ้นกลุ่มสื่อสารที่จะเป็นโครงสร้างหลักในการสื่อสารข้อมูลของประเทศในระยะต่อไป