กรุงไทย คงจีดีพีโต 0.5% หวั่นล็อกดาวน์นานเศรษฐกิจเสี่ยงทรุด

Mladen ANTONOV / AFP

ศูนย์วิจัย Krungthai Compass คงประมาณการจีดีพีปีนี้อยู่ที่ 0.5% และปี 65 อยู่ที่ 3.9% เผยมีความเสี่ยงด้านต่ำหลังมาตรการล็อกดาวน์ลากยาว 2 เดือน ชี้ตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาส 2 ออกมาขยายตัว 7.5% เหตุฐานที่ต่ำปีก่อนและส่งออกโตดี คาดไทยใช้เวลา 2 ปีก่อนเศรษฐกิจกลับสู่ระดับก่อนโควิด-19 หวั่นเกิดแผลเป็น 3 ด้าน

วันที่ 17 สิงหาคม 2564 ศูนย์วิจัย Krungthai Compass เปิดเผยว่า เศรษฐกิจในไตรมาส 2/2564 ขยายตัว 7.5% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน หรือขยายตัว 0.4% เทียบไตรมาสก่อนหน้า เป็นจากผลของฐานต่ำปีก่อนหน้าและการส่งออกสินค้าที่ฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่งตามทิศทางเศรษฐกิจโลก อย่างไรก็ดี สถานการณ์โรคระบาดที่มีความรุนแรงและยืดเยื้อมากกว่าประมาณการครั้งก่อน ส่งผลกระทบต่อการบริโภคภาคเอกชน รวมถึงการฟื้นตัวที่ล่าช้ากว่าที่คาดของภาคการท่องเที่ยว ทำให้ สศช. ปรับลดกรอบประมาณการเศรษฐกิจปี 2564 ว่าจะขยายตัว 0.7%-1.2% ลดลงจากประมาณการเดิมที่ 1.5%-2.5%

ทั้งนี้ Krungthai COMPASS ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2564 ขยายตัว 0.5% แต่ยังมีความเสี่ยงด้านต่ำค่อนข้างมาก จากมาตรการควบคุมโรคแบบกึ่งล็อกดาวน์ที่อาจลากยาวออกไปอย่างน้อย 2 เดือน (จนถึงสิ้นเดือน ก.ย.) ส่งผลให้แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังมีแนวโน้มหดตัวส่วนปี 2564 คาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัว 3.9% ตามสถานการณ์การแพร่ระบาดที่มีแนวโน้มคลี่คลายได้ตามลำดับ ทำให้อุปสงค์ในประเทศจะทยอยฟื้นตัวได้อย่างช้าๆ เช่นเดียวกับแนวทางการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะเริ่มเห็นความชัดเจนในช่วงครึ่งปีหลัง โอกาสที่ กนง. จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มสูงขึ้น ควบคู่ไปกับการออกมาตรการช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบเพิ่มเติม เนื่องจากเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปียังมีความเสี่ยงต่ำอย่างมีนัย

ดังนั้น ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยอาจต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อย 2 ปี (ปี 2566) กว่าจะกลับเข้าสู่ระดับก่อนเกิดวิกฤต เศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำนับตั้งแต่หลังวิกฤตการเงินโลกปี 2551 โดยขยายตัวเฉลี่ย 4.8% ในช่วงก่อนเกิดวิกฤตการเงินโลก (ปี 2541-2551) ก่อนทยอยเติบโตชะลอลงเหลือเพียงเฉลี่ย 3.3% ในช่วง 10 ปีให้หลัง (ปี 2541-2551) ทั้งนี้ วิกฤต COVID-19 ที่ทั่วโลกกำลังเผชิญอยู่ก็ได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในปี 2563 ให้หดตัวถึง 6.1% และมีความเสี่ยงที่เศรษฐกิจไทยจะมีแนวโน้มถดถอยต่อเนื่องเป็นปีที่สอง ซึ่งวิกฤตครั้งนี้ได้สร้างร่องรอยแผลเป็นทางเศรษฐกิจ อีกทั้งยังส่งแรงกระเพื่อมต่อผลิตภาพของไทย (Productivity) ในระยะยาวผ่าน 3 ประเด็นหลัก ได้แก่

ประเด็น 1.หนี้ครัวเรือนในระดับสูง กดดันความสามารถในการจับจ่ายและการก่อหนี้ใหม่ในอนาคต โดยไทยเผชิญหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีในระดับสูงเกิน 60% นับตั้งแต่ปี 2011 ซึ่งจากงานการศึกษาของ BIS (2017) พบว่า สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีที่เพิ่มขึ้น1 Percentage point จะส่งผลให้การขยายตัวของเศรษฐกิจในระยะยาวลดลง 0.1 Percentage point และหากระดับหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีที่สูงเกินกว่า 60% ก็ย่อมส่งผลกระทบการบริโภครุนแรงขึ้นตามลำดับ

ทั้งนี้ วิกฤต COVID-19 มีส่วนดึงให้ยอดหนี้ครัวเรือนในไตรมาส 1/2021 เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 14.1 ล้านล้านบาท หรือขยายตัวถึง 0.6% จากไตรมาสก่อนหน้า ส่งผลให้หนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 90.5% เร่งขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าที่ 89.4% ซึ่งสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีที่อยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง จะส่งผลต่อความสามารถในการจับจ่ายและการก่อหนี้ใหม่ของครัวเรือน ตลอดจนเป็นการเพิ่มความเสี่ยงของหนี้เสียที่จะกระทบต่อเสถียรภาพระบบการเงิน และส่งผลทางลบย้อนกลับมายังเศรษฐกิจต่อไป

2.ตลาดแรงงานมีความเปราะบางมากขึ้น สะท้อนจากข้อมูล ณ ไตรมาส 2/2021 ที่พบว่า จำนวนผู้เสมือนว่างงานเพิ่มขึ้นครั้งแรกในรอบปี รวมถึงจำนวนผู้ว่างงานระยะยาวเร่งตัวขึ้น และอีกจุดอ่อนสำคัญของแรงงานไทยคงหนีไม่พ้น “ทักษะไม่ตรงกับความต้องการ” (Skill Mismatch) โดยเฉพาะในมิติของสาขาวิชาที่ไม่ตรงกับความต้องการมากถึง 37% เมื่อเทียบกับประเทศกลุ่ม OECD ที่เฉลี่ยอยู่ที่ 32% (OECD, 2020) ซึ่งจะยิ่งส่งผลต่อความพร้อมในการปรับตัวของแรงงานเข้าสู่ยุค 4.0 ของไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

นอกจากนี้ ตลาดแรงงานไทยเผชิญกับความท้าทายเชิงโครงสร้าง ทั้งสัดส่วนประชากรวัยทำงานที่ลดลงเร็วที่สุดประเทศหนึ่งของโลก และผลิตภาพแรงงานที่เติบโตในระดับต่ำ โดยผลการศึกษาของ World Bank (2021) ชี้ว่า วิกฤตจากการแพร่ระบาดส่งผลให้ผลิตภาพแรงงานลดลงเฉลี่ย 6% ในช่วงระยะเวลา 5 ปี ดังนั้น COVID-19 จึงมีแนวโน้มที่จะทำให้ผลิตภาพของไทยแย่ลงไปอีก นับตั้งแต่เกิดวิกฤตการณ์ทางการเงินในเอเชีย และมีส่วนทำให้เศรษฐกิจสูญเสียผลผลิตตามศักยภาพ (Potential output loss) ในระยะยาว

และ 3.ความเชื่อมั่นและเสน่ห์ดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติยังเป็นประเด็นที่ต้องคำนึงถึง แม้ในปีนี้เศรษฐกิจไทยยังได้รับแรงสนับสนุนจากภาคส่งออกที่ขยายตัวได้ดี แต่ด้วยปัจจัยเชิงโครงสร้างการผลิตของไทยที่ทำหน้าที่หลักเป็นเพียงรับจ้างผลิต (OEM) ประกอบกับส่วนใหญ่เป็นกลุ่มสินค้าเทคโนโลยีขั้นกลางที่ไม่ซับซ้อนอย่างเครื่องใช้ไฟฟ้าและชิ้นส่วนยานยนต์ที่ได้อานิสงส์จากการลงทุนจากบริษัทสัญชาติญี่ปุ่น ซึ่งทำให้มูลค่าเพิ่มจากการผลิต (Value-added) ต่อจีดีพีของไทยลดลงมาโดยตลอดตั้งแต่ปี 2010 สวนทางกับคู่แข่งที่มีพัฒนาการดีขึ้น

อนึ่ง แม้ไทยซึ่งเป็นฐานการผลิต Hard Disk Drive รายใหญ่ของโลก แต่ก็มีความเสี่ยงสูงที่จะถูกแทนที่ด้วยเทคโนโลยีใหม่อย่าง Solid State Drive ซึ่งมีการย้ายฐานการผลิตบางส่วนไปยังมาเลเซีย และ Semiconductor ที่กำลังเป็นที่ต้องการทั่วโลกที่มีฐานการผลิตหลักในไต้หวัน นอกจากนี้ แม้ในระยะหลัง ไทยจะพยายามเน้นการส่งเสริมการลงทุนเฉพาะอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญและสร้างคุณค่าเพิ่มให้กับเศรษฐกิจของอย่าง S-curve และ New S-curve แต่แรงจูงใจด้านการลดอัตราภาษีรายได้ให้กับนักลงทุนต่างชาติ ก็เป็นมาตรการที่กลุ่มประเทศคู่แข่งในอาเซียนใช้ทุกประเทศ ทำให้ความน่าสนใจของไทยในสายตาต่างชาติในระยะยาวยังเป็นประเด็นที่น่าขบคิด