ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) แนะจับตาสถานการณ์ “รัสเซีย-ยูเครน” หากเกิดความรุนแรงและลุกลามไปถึงประเทศอื่น ๆ จะส่งผลกระทบในวงกว้าง ชี้เศรษฐกิจไทย-เงินบาททิศทางฟื้นตัวแม้ยังผันผวนโดย 1 เดือนข้างหน้าคาดเงินบาทอยู่ในระดับ 32.40-32.60 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ พร้อมแนะนำหุ้น 4 กลุ่มหุ้นเด่น “แบงก์-ค้าปลีก-โรงแรม-โรงพยาบาล”
วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2565 ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) จัดงานสัมมนา Economic Outlook Thailand Forecast มุมมองปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกและประเทศไทย โดยนายกอบสิทธิ์ ศิลปชัย ผู้บริหารงานวิจัยเศรษฐกิจและตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) กล่าวว่า ความชัดแย้งระหว่าง รัสเซียและยุเครนว่าเป็นปัจจัยที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด เนื่องจากหากเกิดความรุนแรงและลุกลามไปถึงประเทศอื่น ๆ เช่น ประเทศในกลุ่ม NATO จะส่งผลกระทบในวงกว้าง ทั้งราคาน้ำมันที่จะสูงขึ้น เนื่องจากรัสเซียเป็นประเทศที่ส่งออกน้ำมันที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดประมาณ 11-12% ทำให้คาดว่าราคาน้ำมันยังยืนอยู่ในรดับสูงอย่างน้อย 3 เดือนข้างหน้า จากปัจจุบันที่ราคาน้ำมันสูงทะลุ 100 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรลไปแล้ว นอกจากนี้สินค้าโภคภัณฑ์ต่าง ๆ จะมีราคาสูงขึ้นตามไปด้วย และในที่สุดจะกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลก
- ครม.ใหม่ถวายสัตย์ เศรษฐา-เพื่อไทย รุกแก้เศรษฐกิจ
- ตรวจหวย ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล ตรวจผลรางวัล งวด 2 พ.ค. 2567
- รมว.อุตสาหกรรม จี้ปลัดรู้ก่อน อธิบดีกรมโรงงานฯ ลาออก ไม่รายงาน
นอกจากนี้ สถานการณ์ขัดแย้งของยูเครนกับรัสเซียจะทำให้ตลาดเงิน-ตลาดทุนมีความผันผวน เนื่องจากจะมีการดึงเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัย เช่น ทองคำมากขึ้น โดยในช่วง 1 เดือนข้างหน้าที่ระดับ 31.90-33.20 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เนื่องจากมีความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ทั้งนี้ทิศทางเงินบาทในปีนี้มองว่ามีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน โดยคาดว่า ณ สิ้นปีจะอยู่ที่ระดับ 32.30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ หลังจากในปีที่แล้วเงินบาทเป็นสกุลเงินที่อ่อนค่าสุดในภูมิภาคที่ 11% อันเนื่องมาจากในปีก่อนประเทศไทยมีการขาดดุลแฝด ได้แก่ การขาดดุลการคลัง และการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด ขณะที่เงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวได้ดี
“ส่วนในปีนี้จากสถานการณ์โควิด-19 ของไทยเริ่มดีขึ้น และตลาดรับรู้ผลการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดไประดับหนึ่งแล้ว ทำให้เงินบาทมีทิศทางฟื้นตัวแต่ในระหว่างทางจะมีความผันผวนตามปัจจัยต่าง ๆ ที่เข้ามา โดยคาดว่าใน 1 เดือนข้างหน้าเงินบาทน่าจะอยู่ในระดับ 32.40-32.60 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐและยังคงกรอบประมาณการจีดีพีปีนี้ไว้ที่ระดับ 2.8-3.7%” นายกอบสิทธิ์กล่าว
ด้านนายนรวิชญ์ เวทไว ผู้บริหารงานขายผลิตภัณฑ์ทางการเงิน ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ประเทศไทยกลับมาพบผู้ป่วยโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน (Omicron) ในไทยเพิ่มขึ้นหลังจากกลับมาเปิดอีกครั้งในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมาแต่จะเห็นได้ว่าปีนี้ GDP โตดีขึ้นและกระแสรายวันกลับมาเป็นปกติเนื่องจากกิจกรรมการส่งออกและนำเข้าฟื้นตัว แต่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ยังมีแนวโน้มสูงขึ้นโดยเฉพาะน้ำมันดิบ และจากประเด็นสถานการณ์ในปัจจุบันหวังว่าจะไม่ขยายตัวเป็นวงกว้างไปกระทบสิ่งต่าง ๆ มากว่านี้ และเชื่อว่า GDP โลกปีนี้จะโต 4.3%
ประเด็นเรื่องค่าเงินบาทในไทยเรามองว่าสถานะค่าเงินบาทจะเป็น Safe Haven หรือ ที่หลบภัย ซึ่งมีสถานะเป็นเจ้าหนี้มากกว่าลูกหนี้ ถึงแม้ค่าเงินบาทไทยจะอ่อนค่าลงแต่เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์แต่ก็จะแข็งแรงกว่าในช่วงนี้ โดยให้กรอบค่าเงินบาทภายใน 1 เดือน 32.40-32.60 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถ้าค่าเงินบาท หลุด 32.60 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ก็จะลงมาทดสอบที่ 32.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ และมีแนวโน้มที่จะเป็นแข็งค่าขึ้นมากกว่า ทั้งนี้จากสถานการณ์ความขัดแย้งหากได้ข้อสรุปและสถานการณ์จบลงก็น่าจะทำให้ค่าเงินบาทแข็ค่าขึ้นมาได้
ส่วนนายกวี ชูกิจเกษม รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาหุ้นไทยไม่เคยได้รับความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติ แต่ปัจจุบันจะเห็นว่านักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในหุ้นไทยมากขึ้น ซึ่งอาจทำให้หุ้นได้กลายเป็น Safe Haven หรือ ที่หลบภัยในช่วงที่มีสถานการณ์ผัวผวนแบบนี้ ซึ่งแต่เดิมที่นักลงทุนต่างชาติไม่เข้ามาลงทุนในไทยเนื่องจากเศรษฐกิจไทยในช่วงที่ผ่านมาโตต่ำกว่าหลายประเทศในภูมิภาคหลังจากที่เกิดวิกฤตสินเชื่อซับไพรม และดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยก็ติดลบ
แต่ปี 2565 นี้และ ปี 2566 เชื่อว่าดุลบัญชีเดินสะพัดจะฟื้นตัวกลับมาเป็นบวก ซึ่งปีนี้หุ้นไทยจะได้รับความสนใจมาจาก 2 ประเด็น คือ 1. กำไรบริษัทจดทะเบียนเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวดีขึ้นกว่าเดิม และ 2.นักลงทุนสนใจที่จะลงทุนในหุ้นคุณค่า (Value Stock) ในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยเป็นขาขึ้น จากประเด็นเหล่านี้ทำให้นักลงทุนต่างชาติหันมาสนใจลงทุนในหุ้นไทยเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทย แนะนำส่วนหุ้นในกลุ่ม (Secter) ที่น่าสนใจโดยแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม นำโดยกลุ่มแรกเป็นหุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ (BANK) แนะนำเป็น SCB, KKP และ TISCO กลุ่มที่ 2 เป็นหุ้นในกลุ่มค้าปลีก CPALL กลุ่มที่ 3 หุ้นในกลุ่มโรงแรม จะเป็น CENTEL และกลุ่มสุดท้ายกลุ่มที่ 4 เป็นกลุ่มโรงพยาบาล แนะนำเป็น BH , BDMS