
ถอดรหัสคำสอนหลักวันมาฆบูชา “โอวาทปาฏิโมกข์” ตามทัศนะ 5 พระเถระ
วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2565 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันมาฆบูชาของทุกปี ตรงกับวันเพ็ญเดือน 3 ตามามปฏิทินจันทรคติของไทย ซึ่งในปีนี้ (2565) ตรงกับวันพุธที่ 16 กุมภาพันธ์ ในวันดังกล่าวนอกจากจะสำคัญด้วยเป็นวันที่เกิด “จาตุรงคสันนิบาต” คือ
- วันดังกล่าวตรงกับวันเพ็ญเดือน 3
- พระภิกษุทั้ง 1,250 รูปนั้น ได้มาประชุมกันโดยมิได้นัดหมาย
- พระภิกษุเหล่านั้นเป็นพระอรหันต์ทรงอภิญญา 6
- พระภิกษุเหล่านั้นไม่ได้ปลงผมด้วยมีดโกน เพราะพระพุทธเจ้าประทาน “เอหิภิกขุอุปสัมปทา” ด้วยพระองค์เอง
ยังมีอีกสิ่งที่สำคัญคือ เป็นวันที่พระพุทธเจ้าแสดง “โอวาทปาฏิโมกข์” ซึ่งตามพระไตรปิEกเล่มที่ 10 พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ 2 (ฉบับมหาจุฬาฯ) ทีฆนิกาย มหาวรรค หน้าที่ 50-51 ระบุว่า ภิกษุทั้งหลาย พระวิปัสสีพุทธเจ้าทรงแสดงปาติโมกข์ ในที่ประชุมสงฆ์ ที่กรุงพันธุมดีราชธานีนั้น ดังนี้
ความอดทนคือความอดกลั้นเป็นตบะอย่างยิ่ง พระพุทธเจ้าทั้งหลายตรัสว่า นิพพานเป็นบรมธรรม ผู้ทำร้ายผู้อื่น ไม่ชื่อว่าเป็นบรรพชิต ผู้เบียดเบียนผู้อื่น ไม่ชื่อว่าเป็นสมณะ
การไม่ทำบาปทั้งปวง การทำกุศลให้ถึงพร้อม การทำจิตของตนให้ผ่องแผ้ว นี้คือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
มุมมอง “โอวาทปาฏิโมกข์” ของ 5 พระเถระ
นอกจากนี้ ตามวิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต(พระพุทธศาสนา) มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ของนายนายเจษฎากรณ์ รอดภัย ระบุเพิ่มเติมว่า นอกจากหลัก 3 ข้อข้างต้นแล้ว ยังมีทัศนะของพระเถระรูปสำคัญของไทยที่ตีความหลัก โอวาทปาฏิโมกข์ แตกต่างกันไป ดังนี้

1.สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร (เจริญ สุวฑฺฒโน) ตีความคำสอนว่า ทรงมุ่งให้พุทธบริษัทประพฤติปฏิบัติตามหลักคำสอนโอวาทปาฏิโมกข์ โดยยึดหลักไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา และเน้นการทําจิตของตนให้ผ่องใส เน้นปฏิบัติให้มากยิ่งขึ้น เพื่อความบริสุทธิ์ผ่องใส บรรลุเป้าหมายสูงสุด
คือ พระนิพพาน

2.พระธรรมโกศาจารย์ (เงื่อม อินฺทปญฺโญ) พุทธทาสภิกขุ ตีความคำสอนว่า เน้นย้ำการปฏิบัติบูชาให้เข้าถึงความ “ว่าง” ที่เรียกว่า “สูญญตา” มองประเด็นพระคาถาโอวาทปาฏิโมกข์ที่เป็นใจความสำคัญ คือ การไม่ทำชั่ว การทำความดีให้ถึงพร้อม และการทำจิตให้ขาวรอบ ต้องการอะไร ปรารถนาอะไร ตามที่ใจปรารถนาต้องการที่สุดแล้ว เมื่อได้มาแล้ว อย่าไปหลง อย่าไปยึดมั่นถือมั่น คือ หัวใจพระพุทธศาสนา จิตจะขาวรอบเป็นปริโยทปนะ (ผ่องใส)

3.พระพรหมมังคลาจารย์ (ปั่น ปทุมุตฺตโร) ปัญญานันทภิกขุ ตีความคำสอนว่า เป็นการให้ชาวพุทธปฏิบัติต่อพระรัตนตรัยด้วยการแสดงความกตัญญูกตเวที ระลึกถึงวันสำคัญเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เน้นการปฏิบัติบูชา

4.สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) ตีความคำสอนว่า เป็นคำสอนที่เป็นองค์รวม และถือเป็น 1 ในคำสอนที่เป็นหัวใจพระพุทธศาสนา สามารถนํามากล่าวในแง่มุมต่าง ๆ เมื่อเกิดความเข้าใจสามารถโยงถึงกันได้กับหกลักคำสอนอื่น และทุกประเด็นเป็นหลักที่ชัดเจน มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะจับจุดไหน ก็โยงถึงกันได้ทั้งนั้น

และ 5.พระพรหมบัณฑิต (ประยูร ธมฺมจิตฺโต) ตีความคำสอนดังกล่าวว่า พระพุทธศาสนาสอนเรื่องขันติความอดทน เราต้องอยู่ร่วมกันด้วยขันติธรรม เพื่อสันติภาพ มองด้านสันติภาพ โลกจักเกิดมีขึ้นได้ด้วย ให้หลักโอวาทปาฏิโมกข์กล่อมเกลาจิตใจของคนทั้งโลกเพื่อสันติภาพ นําหลักโอวาทปาฏิโมกข์ โดยเฉพาะพระคาถาที่ 1 เน้นการปกครองและพัฒนาการศึกษา
นักบวชในพุทธศาสนาต่างนิกายที่กระจายอยู่ทั่วโลกต้องยึดขันติธรรม และเน้นความอดทนประเภทตีติกขาขันติ สามารถให้เข้าถึงพระนิพพานได้