“ควอลคอมม์” ขยายธุรกิจ จากยุคไร้สายสู่ “IOT-AI” เขย่าโลก

เอสที หลิว

ในบรรดายักษ์ผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะ “ชิปเซต” หรือหน่วยประมวลผลขนาดเล็กจิ๋ว ซึ่งเปรียบได้กับ “ขุมพลัง” ของ “สมาร์ทโฟน” ทั้งหลาย ย่อมมี “Snapdragon” ของ “ควอลคอมม์” (Qualcomm) รวมอยู่ด้วย ในฐานะผู้บุกเบิกเทคโนโลยีระบบเครือข่ายไร้สายที่ให้บริการแก่อุตสาหกรรมต่าง ๆ และผลักดันการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัล ไม่ว่าจะในยานยนต์, คอมพิวเตอร์, IOT ทำให้ผู้คนและอุปกรณ์ต่าง ๆ นับล้านชิ้นเชื่อมต่อถึงกันได้

“ประชาชาติธุรกิจ” มีโอกาสพูดคุยกับ “เอสที หลิว” ประธาน บริษัท ควอลคอมม์ ไต้หวัน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ และรองประธาน บริษัท ควอลคอมม์เทคโนโลยีส์ อิงค์ เกี่ยวกับเทรนด์ของ IOT, ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการขยับขยายธุรกิจในไทยและอาเซียน

จากยุคไร้สายสู่ไอโอที

ประธานควอลคอมม์กล่าวว่า ควอลคอมม์ผลิตอุปกรณ์มายาวนาน ตั้งแต่โมเด็มไปจนถึงชิปเซตที่อยู่ในอุปกรณ์ไร้สายแทบทุกอย่าง ล้วนมีเทคโนโลยีของควอลคอมม์อยู่ข้างใน ซึ่งปัจจุบันทุกอย่างมีขนาดเล็กลงแต่จะทรงพลัง และมีประสิทธิภาพมากขึ้นจึงยิ่งต้องการเทคโนโลยีในการผลิตที่ดี โดยโจทย์ใหญ่คือการย้ายความสำคัญของอุปกรณ์ไร้สายต่าง ๆ จากสมาร์ทโฟนไปสู่ทุกสิ่งทุกอย่าง และนำข้อมูลที่เกิดขึ้นมาเชื่อมต่อกันแล้วนำขึ้นสู่ระบบคลาวด์

“เทคโนโลยีเอไอก็เป็นสิ่งสำคัญในปัจจุบัน และด้วยการที่เราทำเทคโนโลยีสมาร์ทโฟนมานาน ทำให้รู้ว่าเอไออยู่ในทุกอย่างอยู่แล้ว แม้แต่กล้องในมือถือก็เป็นเอไอ จากข้อมูลและชิปประมวลผลที่ช่วยให้ได้ภาพถ่ายที่ดี เอไอมีหลายรูปแบบ แต่ล้วนต้องการการบูรณาการสำหรับอุปกรณ์หรือการใช้งาน หรือเป็นไฮบริดเอไอ สิ่งที่เรามองไปข้างหน้าคือ ต้องเคลื่อนย้ายตนเองจากโทรศัพท์มือถือสู่ทุกสิ่งทุกอย่าง หรือ IOT เพราะมีโอกาสและความเป็นไปได้มหาศาล”

ปัจจุบันควอลคอมม์มีส่วนสำคัญในอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ด้วย โดยในกลุ่มธุรกิจ automotive หรือด้าน mobility ของบริษัทยานยนต์ยักษ์ใหญ่ของโลกต่างหันมาใช้แพลตฟอร์มของควอลคอมม์มากขึ้น

“รถยนต์ไฟฟ้าหรือรถอีวีล้วนแล้วแต่ต้องการออกแบบใหม่ด้านอิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะสถาปัตยกรรมทางซอฟต์แวร์ ซึ่งเรามีแพลตฟอร์มชื่อว่า Snapdragon Digital Chassis ช่วยบริษัทรถยนต์ออกแบบใน 3 มิติด้วยกัน

คือ 1.ride มุ่งเน้นระบบขับอัตโนมัติ 2.connectivity การเชื่อมต่อทุกระบบตั้งแต่ไวไฟ บลูทูท การเชื่อมต่อภายในรถ และจากรถขึ้นสู่ระบบคลาวด์ และ 3.cockpit หรือห้องคนขับที่ต้องการความบันเทิงรูปแบบต่าง ๆ ไปจนถึงการนำบริการช็อปปิ้งไปใส่ไว้ด้วย”

โดย ณ ไตรมาส 1/2566 บริษัทมีรายได้จากธุรกิจยานยนต์เพิ่มขึ้น 58% เป็น 456 ล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อเทียบไตรมาส 1/2565 และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 1 แสนล้านเหรียญ ภายในปี 2573

โอกาสในตลาดอาเซียน

“หลิว” กล่าวว่า ตนยังมองเห็นโอกาสมหาศาลจากอุปกรณ์ไร้สายที่จะเป็น “ไอโอที” ภายในไม่กี่ปีข้างหน้า และจะเติบโตมากในตลาดอาเซียน และเอเชีย-แปซิฟิก เนื่องจากโครงสร้างพื้นฐานและอัตราการปรับใช้เทคโนโลยี 5G มีสูงมาก โดยเฉพาะในประเทศไทยถือว่าโดดเด่นที่สุด จากการมีโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมกว่าใคร และได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐอย่างมาก

“ควอลคอมม์เริ่มเข้ามาเป็นผู้ให้บริการโซลูชั่นในหลากหลายอุตสาหกรรมแล้ว เช่น ในด้านสมาร์ทโลจิสติกส์ มี aware solution ช่วยผู้ประกอบการขนส่งทั้งรายใหญ่และรายย่อยให้สามารถติดตามรถยนต์ หรือพัสดุต่าง ๆ วางแผนในการจัดการระบบโลจิสติกส์ได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น ด้วยอุปกรณ์ไอโอทีและซอฟต์แวร์ที่เรามี”

เช่นกันกับโซลูชั่น “สมาร์ทซิตี้” ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่ต้องใช้อุปกรณ์ “ไอโอที” จำนวนมหาศาล โดยบริษัทสามารถจัดหาและผลิตได้ ตั้งแต่กล้องวงจรปิด, ระบบไฟอัจฉริยะ และอื่น ๆ อีกมากมาย จึงมีโอกาสมากในโครงการสมาร์ทซิตี้ที่จะต้องเกิดขึ้น รวมถึงการทรานส์ฟอร์มอุตสาหกรรมต่าง ๆ เป็น smart factory โรงงานต่าง ๆ จะต้องสามารถสร้างอุปกรณ์บนส่วนต่าง ๆ ในสายพานการผลิตให้เชื่อมต่อกันได้ ที่ทุกอย่างจะเชื่อมโยงและมีประสิทธิภาพขึ้น

ซึ่งประเทศไทยให้ความสำคัญกับอุปกรณ์เหล่านี้มาก และจะใช้การไม่ได้เลยหากไม่มีคลื่นความถี่ 5G ทำให้การควบคุมอุปกรณ์และการถ่ายโอนข้อมูลมีความเสถียร

ล่าสุดควอลคอมม์จับมือกับผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ ทดลองใช้ย่านความถี่สูง (high band) หรือ mmWave ทำให้การรับส่งข้อมูลรวดเร็วและความหน่วงต่ำ

“ความร่วมมือนี้จะนำไปสู่การปรับใช้กับโรงงานขนาดใหญ่ต่าง ๆ อยากให้มองโรงงานเหมือนการประกอบโทรศัพท์ที่มีชิ้นส่วนสำคัญต่าง ๆ มากมาย การบูรณาการระบบ (system integration) ต่าง ๆ ให้เป็นหนึ่งเดียวจึงสำคัญมากและจะนำเราไปสู่ยุคของ IOT อย่างแท้จริง”

ซุ่มพัฒนานวัตกรรมใหม่

ผู้บริหารควอลคอมม์กล่าวด้วยว่า ที่ผ่านมาอุปกรณ์อย่างสมาร์ทโฟนมีการเปลี่ยนแปลงมากมาย แต่ละครั้งก็น่าตื่นเต้น โดยจากข้อมูลของบริษัทอินเตอร์เนชั่นแนล ดาต้า คอร์ปอเรชั่น หรือ IDC ระบุว่า อุปกรณ์ที่รองรับเทคโนโลยี 5G มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยคาดการณ์ว่าจะคิดเป็น 62% ของยอดสมาร์ทโฟนที่มีการจัดส่งทั่วโลกภายในปี 2566 และจะเพิ่มขึ้นเป็น 83% ภายในปี 2570

“สิ่งที่ผมมองว่าน่าจะตื่นเต้นกว่า คือฝั่งแล็ปทอป หรือโน้ตบุ๊ก ที่เราอาจไม่ค่อยเห็นการเปลี่ยนแปลงมากนักในช่วงที่ผ่านมา แต่เรากำลังกลับมาโฟกัสตรงนี้มากขึ้น จึงจะมีการอัพเดตครั้งใหญ่จากฝั่งแล็ปทอปเยอะมาก ล่าสุดก็เริ่มทำแล็ปทอปที่สามารถใส่ซิมการ์ดเข้าไปด้วยได้ ซึ่งต่อไปจะมีอะไรตามมาอีกเยอะมาก”