อยุธยาสั่งปิด 2 บริษัท ติดโควิดแบบกลุ่มก้อน อยู่ในนิคมฯบางปะอิน 1 แห่ง

โรงงานเย็บผ้า โควิด

ผู้ว่าฯ พระนครศรีอยุธยา ออกคำสั่งปิดสถานประกอบการ 2 แห่ง วันที่ 28 ก.ค.-3 ส.ค.64 หลังพบลูกจ้าง-พนักงาน ติดเชื้อโควิด-19 แบบกลุ่มก้อน 

วันที่ 28 กรกฎาคม 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายภานุ แย้มศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ ประธานกรรมการโรคติดต่อจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ผู้กำกับการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ออกประกาศคำสั่ง เรื่อง มาตรการเร่งด่วนในการป้องกันวิกฤตการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ฉบับที่ 63

ประกาศดังกล่าวมีใจความว่า ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักรตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม พ.ศ.2563 ต่อมาได้ขยายระยะเวลาการบังคับใช้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินดังกล่าวเป็นคราว ๆ ออกไปอย่างต่อเนื่อง และนายกรัฐมนตรีได้ออกข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 แล้วจำนวน 28 ฉบับ

โดยจังหวัดพระนครศรีอยุธยาได้มีคำสั่งและประกาศจำนวนหลายฉบับ กำหนดมาตรการต่าง ๆ เพื่อควบคุม ป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 อย่างสอดคล้องกับข้อกำหนดที่ออกในห้วงระยะเวลานั้น ๆ

ทั้งนี้ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้มีคำสั่ง ที่ 10/2564 ลงวันที่ 17 กรกฎาคม 2564 กำหนดระดับพื้นที่สถานการณ์ของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ตั้งแต่วันที่ 20 กรกฎาคม 2564 เป็นต้นมา นั้น

เนื่องจากพบข้อมูลว่า มีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 แบบกลุ่มก้อน ในกลุ่มพนักงานและลูกจ้างของสถานประกอบการบางแห่งในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา จึงมีคำสั่งปิดสถานที่ชั่วคราวในสถานประกอบการจำนวน 2 แห่ง ดังนี้

  • ให้ปิดบริษัท ไทยโพรเกลส การ์เม้นต์ จำกัด ในนิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน เลขที่ 587 หมู่ที่ 2 ตำบลคลองจิก อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ไว้เป็นการชั่วคราว 7 วัน ตั้งแต่วันที่ 28 กรกฎาคม 2564 ถึงวันที่ 3 สิงหาคม 2564
  • ให้ปิดห้างหุ้นส่วนจำกัด ปากจั่นพีเพิ้ล เลขที่ 54/3 หมู่ที่ 2 ตำบลปากจั่น อำเภอนครหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ไว้เป็นการชั่วคราว 7 วัน ตั้งแต่วันที่ 28 กรกฎาคม 2564 ถึงวันที่ 3 สิงหาคม 2564

ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามอาจมีความผิดตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ.2558 และอาจมีความผิดตามมาตรา 18 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ