คอลัมน์ Market-think
โดย สรกล อดุลยานนท์
- ลูกแม่ค้าขายผัก-พ่อขับแท็กซี่ สู่เก้าอี้ “ปลัดพลังงาน” บทพิสูจน์ชีวิต “ดร.ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ”
- NETA X ขาย มิ.ย.นี้ ราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท หลัง MOU สรรพสามิต
- KBANK ปรับโครงสร้างใหญ่ ลดจำนวนบอร์ด ตั้ง 4 เอ็มดีเป็น “ผู้จัดการใหญ่” มีผล 1 พ.ค.67
แม้จะเป็นเรื่องราวในแวดวงบันเทิง
แต่ถือเป็นปรากฏการณ์ทางด้านการตลาดที่น่าสนใจ
นั่นคือ เรื่องราวของ “เลือดข้นคนจาง” และ “นาคี 2”
สำหรับ “เลือดข้นคนจาง” นั้น คนอ่าน “ประชาชาติธุรกิจ” น่าจะรับรู้อยู่แล้ว
เพราะกระแสของละครเรื่องนี้ดังมากโดยเฉพาะในโซเชียลมีเดีย คำว่า “ใครฆ่าประเสริฐ” กลายเป็นคำฮิตที่โด่งดังทั่วบ้านทั่วเมือง
เรตติ้งทางโทรทัศน์ตอนแรกไม่แรงนัก
จนช่วงท้าย ๆ ค่อยขยับมาที่ 3 กว่า
แต่ยอดดูทางไลน์ทีวีและย้อนหลังทางยูทูบสูงมาก
นั่นเป็น ความแรงที่เกิดขึ้นใน “สื่อใหม่”
แต่อีกมุมหนึ่งของวงการบันเทิง ภาพยนตร์เรื่อง “นาคี 2” ทำรายได้ 4 วัน
แรงสูงถึง 200 กว่าล้านบาททั่วประเทศ
และคาดว่าอาจจะถึง 400-500 ล้านบาท
แต่เชื่อไหมว่า “นาคี 2” เป็นหนังที่คนในโซเชียลมีเดียไม่ค่อยรู้จัก
จนเข้าโรงแล้วทำรายได้มโหฬาร
คนกลุ่มนี้จึงเริ่มรู้จัก “นาคี 2”
แต่สำหรับคนดูทีวี กระแส “นาคี 2” แรงมาก
ช่อง 3 โปรโมตแบบจัดเต็ม
เขาอาศัยฐานลูกค้าเก่าจากคนที่เคยดู “นาคี” ภาคแรกที่เรตติ้งสูงมากเมื่อ 2 ปีก่อน
คนกลุ่มนี้รู้จัก “นาคี”
ผูกพันกับตัวละครในเรื่อง
เขาย่อมอยากรู้ว่า เรื่องราวต่อจาก “นาคี” ภาคแรก เป็นอย่างไร
ละครช่อง 3 เรื่องนี้เจาะกลุ่มเป้าหมายระดับชาวบ้านทั่วไป
เป็นสินค้า “แมส”
พอโปรโมตแรง ๆ กับกลุ่ม “แมส” ที่รักสินค้านี้จริง ๆ
ถล่มทลายเลยครับ
ฐานมวลชน “รากหญ้า” เป็นกลุ่มที่ประมาทไม่ได้จริง ๆ
เป็นกลุ่มเดียวกับแฟนเพลงลูกทุ่ง รักใครรักจริง
ในยุคก่อนตอนที่ “เทป-ซีดี” กำลังอ่อนแรง
“เทป” หรือ “ซีดี” ที่ขายดีที่สุด คือ เพลงลูกทุ่ง
ชาวบ้านอยากอุดหนุนศิลปินในดวงใจของเขา
“นาคี 2” ก็คือ ปรากฏการณ์แบบเดียวกัน
กลยุทธ์ของเขาเหนือชั้นมาก
ดึงคนที่รักและภักดีต่อสินค้าที่เคยดูฟรีทางจอทีวีให้ยอมมาเสียเงินซื้อตั๋วหนังสำเร็จ
และยังมี “ลูกเล่น” ที่เหมาะกับตลาดนี้ด้วย
นั่นคือ แจก “เหรียญ” ที่ผ่านการปลุกเสกมาแล้วให้กับคนที่จองตั๋วล่วงหน้า
มีคูปองรับเหรียญพร้อมตั๋วเป็นเรื่องเป็นราว
วางจังหวะหนังฉายก่อนเทศกาลบั้งไฟพญานาค
และช่อง 3 ก็ถ่ายทอดสดเทศกาล “บั้งไฟพญานาค”
คนที่รำหน้าขบวนคือ “ญาญ่า” นักแสดงนำในหนัง “นาคี 2”
เป็นไงครับ
ช่อง 3 โชว์ให้เห็นว่า พลังของ “สื่อทีวี” ยังแรงอยู่
ชาวบ้านยังดูทีวี
เรื่องนี้น่าสนใจนะครับ
ถ้า “อาร์เอส” ใช้กลยุทธ์ทำจอโทรทัศน์เป็นห้างสรรพสินค้า
ทำรายการเรตติ้งดี ๆ ดึงคนมาดูช่อง 8
และทำรายได้จากการขายเครื่องสำอางที่เขาผลิตเอง
สร้างโมเดลธุรกิจใหม่
“ช่อง 3” ก็ปรับกลยุทธ์เช่นกัน
เขาไม่ได้ขายเครื่องสำอาง
แต่ต่อยอด “ละคร” ไปสู่ “หนัง”
กำหนด “กลุ่มเป้าหมาย” คือ คนดู
ละครที่รักและภักดีกับตัวละครและเรื่องราว
จากเดิมที่ “ดูฟรี”
เขากระตุ้นให้คนดูละครไปจ่ายตังค์ดูหนังแทน
ช่อง 8 และช่อง 3 เหมือนกันตรงที่เขาเปลี่ยนรูปแบบการหารายได้ใหม่
จากเดิมคือทำเรตติ้งละคร หรือรายการให้สูง ๆ
เอา “เรตติ้ง” ไปขายโฆษณาจากเอเยนซี่
แต่วันนี้ “ช่อง 8” ทำสินค้าเอง
แล้วขายสินค้ากับ “คนดู”
ส่วน “ช่อง 3” สร้างสินค้าใหม่ คือ “หนัง” ต่อยอดจากละคร
แล้ว “ขายตรง” กับ “คนดูละคร” กลุ่มเดิม
เอาเงินจากกระเป๋า “คนดู” โดยตรง
ไม่ใช่ “เอเยนซี่โฆษณา”
ช่อง 3 และช่อง 8 คิดเหมือนกัน
แต่ใช้กลยุทธ์คนละแบบ
ผมลองคิดเล่น ๆ ว่า ถ้า “ช่องวัน” ของ “แกรมมี่” เอาบ้าง
ทำหนัง “เลือดข้นคนจาง” ภาค 2 ฉายในโรงขึ้นมา
ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร
น่าสนใจนะครับ