“ไทยซิน” ทุ่มลงทุนเร่งโตรอบทิศ ปั้น “Jakotha” รุกค้าปลีก-ผุดร้านเบเกอรี่

“ไทยซิน กรุ๊ป” สวนกระแส ประกาศเดินหน้าขยายธุรกิจครั้งใหญ่ในรอบ 10 ปี หวังโตรอบทิศ ขยายไลน์อัพเครื่องใช้ไฟฟ้าชิ้นเล็ก-เปิดร้านค้าปลีก “จาโคท่า” เจาะทำเลห้าง-รถไฟฟ้า ผนึกยักษ์ความงาม “ลอรีอัล” เร่งขยายร้านทำผม “ซาลอน เดอ เบลล์” จับลูกค้าพรีเมี่ยม เผยไตรมาสแรกปีหน้า เปิดเพิ่มร้านเบเกอรี่-กาแฟ/ร้านอาหาร เสริมร้านสุกียากี้ ชาบูชาบู “อะคิโยชิ” ซุ่มเจรจาพันธมิตร เปิดแลนด์แบงก์ “บางปู-หัวลำโพง” ผุดมิกซ์ยูสรับเทรนด์อสังหาฯ ส่วนตลาดต่างประเทศ ขนสินค้า-ร้านอาหารบุกลาว ตามแผนโฟกัสซีแอลเอ็มวี มั่นใจรายได้ปี 2563 เติบโตก้าวกระโดด


“ไทยซิน กรุ๊ป” อาจเป็นชื่อที่ไม่คุ้นหูผู้บริโภคนัก แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไทยซิน กรุ๊ป นั้นเปิดดำเนินธุรกิจในเมืองไทยมานานถึง 68 ปี และมีทั้งธุรกิจที่บริษัทพัฒนาขึ้นมาเอง และเป็นตัวแทนนำเข้าและจัดจำหน่ายในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็น สินค้าความงามแบรนด์ “บีเง็น” “เบลล์สตาร์”, ร้านทำผม “ซาลอน เดอ เบลล์”, เครื่องใช้ในครัว-เครื่องใช้ไฟฟ้าแบรนด์ “ไทเกอร์” และ “นิกโก้” รวมถึงร้านอาหารญี่ปุ่น “อะคิโยชิ”

ขณะนี้แม้ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมจะไม่สดใสนัก แต่ล่าสุด ไทยซิน กรุ๊ป ได้ประกาศแผนขยายธุรกิจครั้งใหญ่ในรอบทศวรรษ

ลงทุนใหญ่สวนกระแส

นายสุรไกร ไพรสานฑ์กุล กรรมการผู้จัดการ กลุ่มบริษัท ไทยซินอุตสาหกรรม จำกัด เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ถึงทิศทางการดำเนินงานในช่วงจากนี้ไปว่า ตั้งแต่ปี 2563 ไปจนถึงปี 2565 บริษัทมีแผนจะขยายธุรกิจครั้งใหญ่ในรอบ 10 ปี โดยจะขยายแบบรอบด้านในทุกกลุ่มธุรกิจที่มีอยู่ ไม่ว่าจะเป็น ร้านอาหาร, ความงาม, เครื่องใช้ไฟฟ้าชิ้นเล็ก, อสังหาฯ, การรับผลิตสินค้าหรือโออีเอ็ม เพื่อรับดีมานด์ในประเทศ พร้อมทั้งมีแผนจะเพิ่มน้ำหนักการทำตลาดในประเทศเพื่อนบ้านย่านซีแอลเอ็มวี

ทั้งกัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม หลังเตรียมความพร้อมมาตลอดช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา เช่น การตั้งบริษัทในลาว เพื่อดูแลการจัดจำหน่ายและกิจกรรมการตลาดรองรับทัพสินค้าที่นำเข้าไปขายทั้งเครื่องใช้ในครัวและสินค้าความงาม เช่นเดียวกับร้านอาหารที่จะเข้าไปเปิดในโรงแรมและย่านท่องเที่ยวของเวียงจันทน์ และหลวงพระบาง หลังจากก่อนหน้านี้เข้าไปตั้งบริษัทในเมียนมา และจีนไปก่อนแล้ว

Advertisment

สำหรับตลาดในประเทศ บริษัทจะอาศัยกลยุทธ์ปั้นหน่วยธุรกิจใหม่ ๆ สไตล์สตาร์ตอัพขึ้นมาในองค์กร เมื่อประสบความสำเร็จจะแยกตัวออกมาเป็นบริษัทใหม่ในเครือเพื่อความคล่องตัวในการบริหาร-จัดสรรทรัพยากร เพื่อขยายธุรกิจใหม่ ๆ โดยปี 2563 บริษัทจะจดทะเบียนตั้งบริษัทใหม่เพิ่มอีกอย่างน้อย 3 บริษัท และจะมีการจัดโครงสร้าง รวมบริษัทที่มีธุรกิจคล้ายกันเข้าด้วยกันเพื่อให้ง่ายต่อการบริหารจัดการ จากที่ผ่านมาได้ทยอยตั้งบริษัทใหม่ ๆ เพิ่ม อาทิ บริษัท เอที คอสเมติก (ประเทศไทย) จำกัด รับผิดชอบด้านการจัดจำหน่ายเครื่องสำอางและสินค้าความงาม บริษัท คุณค่า กรุ๊ป จำกัด ทำธุรกิจนำเข้า-ส่งออก บริษัท หังเป่ย กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด ทำธุรกิจวิเคราะห์ข้อมูล เป็นต้น ซึ่งปัจจุบันมีบริษัทรวม 8 บริษัท เช่นเดียวกับการเจรจาขอสิทธิ์แบรนด์ต่าง ๆ จากญี่ปุ่นมาเสริมทัพ

บุกเครื่องใช้ไฟฟ้าชิ้นเล็ก

นายสุรไกรกล่าวว่า ทั้งนี้ ธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้าชิ้นเล็กและกระบอกน้ำ จะเป็นหนึ่งในไฮไลต์ที่จะมีความเปลี่ยนแปลงหลายด้าน ตั้งแต่การขยายไลน์อัพสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าชิ้นเล็กและเครื่องใช้ในครัวแบรนด์ “นิกโก้” (Nikko) ซึ่งบริษัทพัฒนาขึ้นเอง เช่น กระบอกน้ำ, กาต้มน้ำ, เตาแก๊สแคมปิ้ง, แก๊สกระป๋อง จากเดิมที่เน้นกลุ่มกระติก-แก้วน้ำเก็บอุณหภูมิ พร้อมกันนี้ยังเพิ่มความหลากหลายของกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าชิ้นเล็กและแก็ดเจต อาทิ พัดลมตั้งโต๊ะ ซึ่งได้รับความนิยมจากผู้บริโภคทั้งใน-นอกประเทศ ชูจุดขายด้านดีไซน์-พัฒนาโดยคนไทย และคุณภาพสูงกว่าแบรนด์จีนในราคาจับต้องได้ เจาะกลุ่มแมสผ่านทางร้านค้าดีลเลอร์

ทั้งนี้ อาศัยกำลังผลิตจากโรงงานแห่งใหม่ขนาด 11 ไร่ ใกล้กับโรงงานปัจจุบันที่บริเวณถนนปู่เจ้าสมิงพราย จังหวัดสมุทรปราการ ที่ร่วมลงทุนกับพาร์ตเนอร์จากจีน และญี่ปุ่น รวมกว่า 600 ล้านบาท ซึ่งจะเดินเครื่องในปี 2563 เพื่อผลิตกระติกน้ำและเครื่องใช้ไฟฟ้าชิ้นเล็กรองรับทั้งการขายในประเทศและส่งออก

Advertisment

ขณะที่ “ไทเกอร์” แบรนด์กระบอกน้ำ-เครื่องใช้ไฟฟ้าสัญชาติญี่ปุ่น ที่บริษัทเป็นผู้นำเข้าและจัดจำหน่าย มีแผนเพิ่มจำนวนสินค้าที่จะเปิดตัวในปี 2563 อีกเท่าตัว จาก 15-30 เอสเคยู เป็น 60 เอสเคยู มีไฮไลต์เป็นรุ่นลิมิเต็ดเอดิชั่นนำเข้าจากญี่ปุ่น และรุ่นพิเศษที่จับมือกับพันธมิตรผลิตขึ้น เช่นเดียวกับนวัตกรรมการเก็บรักษาอุณหภูมิ รวมถึงดีไซน์สไตล์แฟชั่นและไลฟ์สไตล์อย่าง หูแขวนสำหรับกลุ่มนิยมออกกำลัง รับกับเทรนด์ของผู้บริโภคที่หันมาใช้งานมากขึ้น

ตามกระแสลดพลาสติก

“ส่วนของโรงงานผลิตสินค้าความงามเดิม บริษัทจะนำแนวคิดนี้มาใช้สำหรับธุรกิจรับจ้างผลิต หรือโออีเอ็ม-โอดีเอ็ม โดยนอกจากรับจ้างผลิตแล้ว บริษัทจะมีให้บริการแบบครบวงจร ตั้งแต่คิดสูตร, ผลิต, ออกแบบแพ็กเกจ, ทำการตลาด-รีวิว เป็นต้น เพื่อรับกระแสการเติบโตของสินค้าสุขภาพ-ความงามที่มีแบรนด์ใหม่ ๆ ผุดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่วนสินค้าของบริษัทเองจะหันไปใช้เอาต์ซอร์ซแทน” นายสุรไกรกล่าว

ซุ่มเงียบบุกค้าปลีก-สปา

นายสุรไกรกล่าวต่อไปว่า ขณะนี้ได้เตรียมเปิดร้านค้าปลีก “จาโคท่า” (Jakotha) เพื่อจำหน่ายสินค้าของบริษัทและสินค้าที่บริษัทเป็นผู้จัดจำหน่าย อาทิ ไทเกอร์, นิกโก้, เบลล์ โตเกียว, บีเง็น และอื่น ๆ รวมถึงเป็นโชว์รูม สร้างการรับรู้ให้แต่ละแบรนด์อีกด้วย ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทได้มีการทดลองเปิดในงานแฟร์ทั้งในและนอกประเทศ รวมถึงงานกาชาดครั้งล่าสุดที่ผ่านมา เบื้องต้นจะเปิด 2 สาขา ด้วยงบฯลงทุน 3 ล้านบาทต่อสาขา พื้นที่ 80-100 ตร.ม. โดยจะเปิดในห้างสรรพสินค้าและสถานีรถไฟฟ้า นอกจากนี้

ที่ผ่านมายังได้ทดลองจำหน่ายสินค้าของบริษัทผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซมาประมาณ 2 ปี และชื่อ จาโคท่า ที่ตั้งขึ้น หลัก ๆ เพื่อสื่อถึงที่มาของสินค้าที่วางขายในร้าน มาจาก 3 ประเทศ คือ ญี่ปุ่น, เกาหลี และไทย

นอกจากนี้ยังเตรียมจะขยายสาขา “ซาลอน เดอ เบลล์” (Salon de Belle) ร้านซาลอนระดับพรีเมี่ยม ที่ร่วมพัฒนากับ “ลอรีอัล โปรเฟสชั่นแนล ปารีส” (L”Oreal Professionnel Paris) แบรนด์สินค้าบำรุงเส้นผมในเครือลอรีอัล โดยบริษัทรับหน้าที่จัดหาสถานที่ พนักงานและบริหารงาน ชูจุดขายทีมงานครีเอเตอร์และสไตลิสต์ประสบการณ์สูงและบริการระดับไฮเอนด์ โดยมุ่งขยายสาขาในศูนย์การค้าตั้งแต่ช่วงไตรมาสแรกของปี 2563 เพื่อรองรับกลุ่มไฮเอนด์ในย่านต่าง ๆ ของกรุงเทพฯ จากปัจจุบันมีสาขาที่เป็นแฟลกชิปที่ไทซินสแควร์ (ติดสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสพระโขนง)รวมทั้งการเปิด “เบลล์ สปา แอนด์ เอสเทติก เซ็นเตอร์” (Bell Spa and Esthetic Center) ร้านสปาที่บริษัทพัฒนาและบริหารเอง เพิ่มจากเดิมที่มีให้บริการที่อาคารไทซินสแควร์ เพื่อเป็นช่องทางจำหน่ายเวชสำอาง อาทิ แบรนด์รีช (Reach) โดยเบื้องต้นมีแผนขยายเพิ่มอีก 3 สาขา รวมถึงอาจขยายควบคู่กับ “ซาลอน เดอ เบลล์” เพื่อสร้างโซลูชั่นความงามครบวงจร

ขนร้านอาหารญี่ปุ่นเพิ่มพอร์ต

นายสุรไกรกล่าวต่อไปว่า สำหรับธุรกิจร้านอาหาร ซึ่งเดิมมีเพียงร้านสุกียากี้ ชาบูชาบูและปิ้งย่าง แบรนด์ “อะคิโยชิ” มีแผนจะเปิดเพิ่มอีก 3 สาขา จากเดิมที่มี 7 สาขา และมีแผนจะเพิ่มแบรนด์ใหม่จากญี่ปุ่นอีก 2 แบรนด์ ซึ่งบริษัทกำลังเจรจาอยู่ โดยแบรนด์แรกเป็นร้านเบเกอรี่และกาแฟ ตามด้วยร้านอาหารญี่ปุ่นอีกหนึ่งแบรนด์ โดยคาดว่าจะสามารถเริ่มสาขาแรกที่อาคารไทยซิน

สแควร์ ช่วงไตรมาส 1 ปี 2563 ก่อนจะขยายไปยังที่อื่น ๆ เน้นทำเลศูนย์การค้า ภายใต้กลยุทธ์ใหม่ที่จะขยายไปด้วยกันทั้ง 3 แบรนด์ เพื่อใช้ครัวและพนักงานร่วมกัน ช่วยให้มีพื้นที่-ศักยภาพรองรับลูกค้าได้มากขึ้น รวมถึงเพิ่มอำนาจต่อรองกับเจ้าของพื้นที่

ส่วนธุรกิจพัฒนาอสังหาฯ ซึ่งปัจจุบันมีแลนด์แบงก์อีก 5 แห่ง คือ ย่านบางปู, หัวลำโพง, สมุทรปราการ, สำโรง และเมืองเอก (ปทุมธานี) ขณะนี้อยู่ระหว่างศึกษาและหาพันธมิตร เพื่อร่วมพัฒนาโครงการมิกซ์ยูสตามเทรนด์ของธุรกิจปัจจุบัน โดยเบื้องต้นจะมุ่งที่ย่านบางปูก่อน ส่วนพื้นที่สำนักงานใหญ่ติดรถไฟฟ้าพระโขนง บริษัทจะใช้สำหรับจัดกิจกรรมต่าง ๆ เช่น งานแฟร์ งานเทศกาลตามโอกาสต่าง ๆ เพื่อดึงดูดลูกค้า-สร้างการรับรู้

“จากแผนการดำเนินงานดังกล่าวมั่นใจว่า ทำให้รายได้ของเครือในปี 2563 เพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด หรือประมาณ 20-30% โดยมีไทยซินอุตสาหกรรม และอะคิโยชิ เป็นตัวสร้างรายได้หลัก” นายสุรไกรกล่าวย้ำในตอนท้าย