โรงหนัง-ฟิตเนส ระดมแคมเปญ ชิงดีมานด์หลังคลายล็อก

คอลัมน์ จับกระแสตลาด

หลังจากศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ ศบค. ได้ประกาศคลายล็อกเฟส 3 อนุญาตให้ฟิตเนสและโรงภาพยนตร์สามารถกลับมาเปิดให้บริการได้อีกครั้ง บรรดาผู้ประกอบการต่างออกมารับลูกกันอย่างคึกคัก โดยนอกจากการประกาศความพร้อมด้านความสะอาด และมาตรการเว้นระยะห่างของผู้ใช้บริการเพื่อสร้างความเชื่อมั่นทั้งกับลูกค้าและรัฐบาลแล้ว ยังมีระดมโปรโมชั่นอย่างส่วนลดค่าสมาชิก-บัตรชมภาพยนตร์ รวมถึงนวัตกรรมต่าง ๆ เช่น แอปพลิเคชั่น, หุ่นยนต์วัดไข้ เพื่ออำนวยความสะดวก และกระตุ้นความสนใจ หวังดึงดูดลูกค้าทั้งหน้าเก่า-หน้าใหม่ให้กลับมาใช้บริการอีกด้วย

เริ่มจากธุรกิจฟิตเนส โดย “เจ็ทส์ ฟิตเนส 24 ชั่วโมง” เชนจากประเทศออสเตรเลีย ได้ลอนช์โปรโมชั่นลดค่าสมาชิกเดือนแรกสำหรับผู้สมัครใหม่เหลือ 1,300 บาท จากเดิม 1,400 บาท พร้อมฟรีค่าแรกเข้าและค่าบัตรสมาชิก ส่วนสมาชิกปัจจุบันจะได้ส่วนลด 300 บาท ในเดือนมิถุนายน ซึ่งทางบริษัทระบุว่าเป็นการชดเชยสำหรับเวลาเปิดบริการที่ลดลงจาก 24 ชั่วโมง เป็น 06.00-22.00 น. ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน ในทุกสาขารวมถึงสาขาใหม่ล่าสุด 3 แห่ง คือ ดองกิ มอลล์ เอกมัย, เอสเจ อินฟินิท วัน และอินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ พระราม 2

พร้อมกับโปรโมตมาตรการป้องกันโรค อาทิ วัดอุณหภูมิร่างกาย, จำกัดเวลาใช้บริการไม่เกิน 2 ชั่วโมงต่อครั้ง, จำกัดจำนวนผู้เข้าคลาสโดยต้องจองก่อน, จำกัดจำนวนอุปกรณ์ออกกำลังที่เปิดใช้, ขอความร่วมมือสมาชิกทำความสะอาดอุปกรณ์และเสื่อ ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อโรคที่คลับเตรียมไว้ให้หลังการใช้งานและอื่น ๆ

ขณะเดียวกันยังย้ำความมั่นใจในดีมานด์ของผู้บริโภคไทย โดย “ไมค์ แลมบ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เจ็ทส์ ฟิตเนส 24 ชั่วโมง ภูมิภาคเอเชีย ที่ออกมาระบุว่า ดีมานด์การใช้บริการฟิตเนสในไทยยังคงสูง สะท้อนจากช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา จำนวนผู้เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์และโซเชียลของบริษัท โดยเฉพาะคลาสออกกำลังกายผ่านช่องทางเฟซบุ๊กไลฟ์ ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลามจากทั้งสมาชิกและผู้บริโภคทั่วไป

ด้าน “ฟิตเนส เฟิรส์ท” กลับมาเปิดบริการพร้อมกลยุทธ์ไฮไลต์ที่การนำแอปพลิเคชั่น “ฟิตเนส เฟิรส์ท เอเชีย” บนสมาร์ทโฟนทั้งแอนดรอยด์และไอโอเอสมาใช้จองคลาสออกกำลังล่วงหน้า ตามมาตรการเว้นระยะห่าง ร่วมกับมาตรการพื้นฐานต่าง ๆ ด้านความสะอาดและเว้นระยะห่างแบบละเอียดยิบสำหรับทั้งพนักงาน, สมาชิกไปจนถึงผู้มาติดต่อ อย่างหากพนักงานกลับมาจาก พท.เสี่ยงต้องกักตัว 14 วัน และขณะอยู่ในคลับต้องใช้หน้ากากและเฟซชีลด์ รวมถึงเว้นระยะห่างจากสมาชิก-เพื่อนร่วมงานตลอดเวลา ส่วนผู้มาติดต่อต้องวัดอุณหภูมิก่อน ด้านสมาชิกแนะนำให้นำอุปกรณ์ต่าง ๆ มาเอง รวมถึงมีการทำความสะอาดใหญ่ทุกวันหลังปิดคลับ เป็นต้น

นอกจากนี้ยังอยู่ระหว่างพิจารณาลอนช์แคมเปญที่ชูจุดขายเงื่อนไขค่าใช้บริการใหม่ เล่นแค่ไหนจ่ายแค่นั้น โดยมีค่ารายเดือนขั้นต่ำที่เข้าถึงง่ายขึ้นและหากต้องการเข้าคลาสต่าง ๆ เช่น ปั่นจักรยาน, HIIT, โยคะ จะต้องเพิ่มเงินตามประเภทคลาส

ไปในทิศทางเดียวกับ “แอบโซลูทยู” ซึ่งนำแอป “Absolute You” มาใช้จองคลาสต่าง ๆ ล่วงหน้า โดยเปิดให้จองตั้งแต่ 07.00 น. ของวันที่ 30 พฤษภาคมที่ผ่านมา รวมถึงเพิ่มระยะห่างระหว่างอุปกรณ์ทุกคลาส 1-2 เมตร และจัดที่กั้นระหว่างจักรยานไว้สำหรับคลาส Rhythm Cycling พร้อมสเปรย์แอลกอฮอล์ และน้ำยาฆ่าเชื้อไว้ให้สมาชิกทำความสะอาดอุปกรณ์ต่าง ๆ ด้วยตัวเองระหว่างคลาส ส่วนครูทุกคนต้องใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลาระหว่างคลาส

ส่วน “เวอร์จิ้น แอ็คทีฟ” เชนฟิตเนสจากประเทศอังกฤษ ตัดสินใจเปิดทำการในวันที่ 2 มิถุนายน สำหรับธุรกิจโรงภาพยนตร์ ทั้งเอสเอฟและเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ ต่างลดรอบฉายและลดจำนวนตั๋วต่อรอบลงตามมาตรการรักษาความสะอาดและเว้นระยะห่าง แต่ยังคงราคาบัตรชมภาพยนตร์ไว้เท่าเดิมแม้ต้นทุนจะสูงขึ้น จากมาตรการเว้นระยะห่าง

“นรุตม์ เจียรสนอง” รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาด บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า โรงภาพยนตร์ในเครือพร้อมกลับมาเปิดให้บริการทุกสาขาทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด พร้อมคงราคาบัตรชมภาพยนตร์ไว้ที่เฉลี่ย 160 บาทต่อที่นั่ง แม้ต้นทุนจะสูงขึ้นเนื่องจากลดรอบฉายจากเดิมฉาย 5 รอบต่อวัน เหลือ 3-4 รอบ เพื่อเว้นช่วงเพื่อทำความสะอาด และจำกัดให้ที่นั่งไม่เกิน 200 คน โดยแบ่งที่นั่งแบบ 2 คน เว้น 3 คน แต่ละแถวนั่งสับหว่างไม่ตรงกัน ทำให้พื้นที่หายไปกว่า 25%

นอกจากนี้ยังจัดโปรโมชั่นลดราคาตั๋ว 50 บาท เมื่อซื้อผ่านแอปพลิเคชั่น Major Movie Plus จากปกติราคาเฉลี่ย 160 บาท รวมถึงจับมือเอไอเอส นำหุ่นยนต์มาช่วยวัดอุณหภูมิลูกค้าก่อนเข้าโรงภาพยนตร์ เริ่มใช้ที่สาขาพารากอนและไอคอนสยาม และจะทยอยนำไปใช้ทุกสาขา เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า

ทั้งนี้ ไลน์อัพหนังจะเป็นโปรแกรมที่เคยมีกำหนดฉายช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน อาทิ พี่นาค 2, มนุษย์ล่องหน, ตุ๊กตาซ่อนผี เป็นต้น ควบคู่กับหนังใหม่ในทุก ๆ เดือน อาทิ พจมานสว่างคาตา, Trolls World Tour, Emma และอื่น ๆ อีกทั้งยังเตรียมผลิตหนังไทยกว่า 20 เรื่อง ขายให้กับพันธมิตรและสตรีมมิ่ง เช่น เน็ตฟลิกซ์ เพื่อตอบโจทย์คนดูต่างจังหวัด

รวมถึงโยกงบฯโฆษณาในส่วนของโรงภาพยนตร์ ไปฉายในสื่อออนไลน์ผ่านยูทูบ ช่อง “เมเจอร์ กรุ๊ป” ที่ก่อนหน้านี้ได้นำหนังไทย 12 เรื่องเข้ามาฉาย

ส่วนการขยายสาขา ยังคงแผนเดิมที่จะเปิด 40 โรง เน้นในบิ๊กซีและเทสโก้ โลตัส เพื่อเจาะฐานคนดูในต่างจังหวัด ส่วนต่างประเทศจะโฟกัสไปที่ประเทศกลุ่มซีแอลเอ็มวี โดยเฉพาะลาวและกัมพูชา เพราะมีแนวโน้มการเติบโตต่อเนื่อง

ด้าน “พิมสิริ ทองร่มโพธิ์” ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท เอส เอฟ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การกลับมาเปิดในครั้งนี้ไม่มีการปรับราคาบัตรชมภาพยนตร์จากปกติ 100-160 บาทเช่นกัน โดยช่วงเดือนมิถุนายน จะนำหนังโปรแกรมเดิมกลับมาฉายก่อน และจะยืดระยะเวลาฉายต่อไป 1 เดือนก่อนออกจากโรง จากปกติใช้ระยะเวลาแค่ 2 สัปดาห์ ตามด้วยหนังใหม่ทั้งไทยและต่างประเทศ ซึ่งจะทยอยตามเข้ามา ทั้งนี้ รอบฉายลดลงเหลือ 3 รอบ จากเดิมที่ฉาย 5 รอบต่อวัน

สำหรับการขยายสาขาได้ปรับแผนการเปิดสาขาใหม่จากเดิม 4 สาขา เหลือ 2 สาขา ในจังหวัดชลบุรี อำเภอบ่อวินซึ่งเปิดให้บริการแล้ว ส่วนอีก 1 สาขาจะเปิดปลายปี โดยจะทำให้มีสาขาเพิ่มจาก 65 สาขา เป็น 66 สาขา

ด้านแผนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยช่วงไตรมาส 3 ปีนี้ จะเลื่อนออกไปเป็นอีก 3 ปี เนื่องจากผลกระทบโควิด-19 ทำให้รายได้รวมของบริษัทลดลง

“แม้การปิดให้บริการไป 75 วัน ถือเป็นวิกฤตที่ร้ายแรงที่สุดสำหรับทั้งบริษัทและอุตสาหกรรมภาพยนตร์ของไทย ส่งผลให้รายได้หายไปเกือบ 30% แต่เชื่อว่าการกลับมาเปิดครั้งนี้จะช่วยให้ธุรกิจประคองตัวต่อไปได้”