“เขมทัตต์” ยืนยันรักษาผลประโยชน์องค์กรเต็มที่ เผยเบื้องหลังที่มาการพิจารณาเรียกเงินเยียวยาคลื่น 2600 ย้ำการพิจารณาแบ่งค่าตอบแทนไม่ทำให้ อสมท เสียเปรียบคู่สัญญา
นายเขมทัตต์ พลเดช กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ออกแถลงการณ์ชี้แจงพนักงาน บมจ. อสมท จากกรณีที่มีการนำเสนอข่าวพาดพิงถึงผู้บริหารระดับสูง ของ บมจ. อสมท ซึ่งหมายถึง กก.ผอ.ใหญ่ บมจ. อสมท ว่า ไม่รักษาผลประโยชน์ให้ บมจ.อสมท อย่างเต็มที่ในกรณี การเยียวยาการเรียกคืนคลื่นความถี่ในย่าน 2600 MHz ของ บมจ. อสมท จนทำให้สาธารณชนเกิดความเข้าใจผิด และเกิดเป็นภาพลักษณ์ที่ไม่ดีต่อองค์กร
- ด่วน! วอยซ์ทีวี ประกาศปิดกิจการทุกแพลตฟอร์ม เลิกจ้าง 100 กว่าคน
- ลูกแม่ค้าขายผัก-พ่อขับแท็กซี่ สู่เก้าอี้ “ปลัดพลังงาน” บทพิสูจน์ชีวิต “ดร.ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ”
- NETA X ขาย มิ.ย.นี้ ราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท หลัง MOU สรรพสามิต
โดยผู้บริหารระดับสูงของ บมจ. อสมท ได้ทำหนังสือถึง กสทช. เรียกเงินเยียวยาจากการถูก กสทช. เรียกคืนคลื่นความถี่ในย่าน 2600 MHz ในจำนวนที่เท่ากับบริษัทเอกชนคู่สัญญา โดยมองว่า บมจ. อสมท ควรจะได้รับเงินเยียวยาที่มากกว่านี้ ทำให้ บมจ. อสมท ได้รับความเสียหาย จนกระทั่ง สหภาพแรงงาน บมจ. อสมท ออกมาเคลื่อนไหวร้องเรียนให้มีการตรวจสอบผู้บริหารระดับสูงของ บมจ. อสมท และต่อมายังได้ปรากฎข่าวที่ไม่มีมูลความจริงเผยแพร่ทั่วไปอีกว่า รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแล บมจ. อสมท ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีให้เข้ามาตรวจสอบในเรื่องนี้ด้วย
ในการนี้ เพื่อมิให้เกิดความเข้าใจผิดและทำให้สาธารณชนได้รับข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง กก.ผอ.ใหญ่ บมจ.อสมท จึงขอชี้แจงข้อเท็จจริง รวมทั้ง ข้อกฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องจนนำมาซึ่งการจะต้องได้รับการเยียวยาจาก กสทช.จากการที่ถูกเรียกคืนคลื่นความถี่ ดังต่อไปนี้
1) ในการกำหนดจำนวนเงินที่จะต้องจ่ายชดใช้ และจ่ายค่าตอบแทนการเสียโอกาสจากการถูกเรียกคืน คลื่นความถี่ตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง คือ พระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ และประกาศของ กสทช. ได้กำหนดให้เป็นหน้าที่ของ กสทช. มิใช่ให้เป็นหน้าที่ของผู้ที่ถูกเรียกคืนคลื่นที่จะกำหนดจำนวนเงินได้เองบมจ. อสมท ในฐานะเป็นผู้ที่ถูกเรียกคืนคลื่นความถี่ มีหน้าที่เพียงแจ้งข้อมูลรายละเอียดต่างๆของการลงทุน และการได้รับประโยชน์จากการใช้คลื่นความถี่ในทางธุรกิจให้ กสทช. ทราบ เท่านั้น เพื่อให้ กสทช. ได้นำข้อมูลที่แจ้งไปประกอบการพิจารณากำหนดการจ่ายเงินชดใช้และการจ่ายเงินค่าตอบแทนการเสียโอกาส รวมทั้งหน้าที่ในการกำหนดสัดส่วนการจ่ายเงินชดใช้และการจ่ายเงินค่าทดแทน ระหว่าง บมจ.อสมท ผู้ถูกเรียกคืนคลื่นความถี่กับ บริษัทเอกชนคู่สัญญา ซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการถูกเรียกคืนคลื่นความถี่ ก็เป็นหน้าที่ของ กสทช. ในการกำหนดสัดส่วนด้วยเช่นกัน
2) ในการเยียวยา บมจ. อสมท และบริษัทเอกชนคู่สัญญา แบ่งการเยียวยาเป็น 2 ส่วน คือ “การจ่ายค่าชดใช้” และ “การจ่ายค่าตอบแทนการเสียโอกาสจากการถูกเรียกคืนคลื่นความถี่” ซึ่งตามกฎหมายเพื่อให้ความเป็นธรรม จึงได้กำหนดให้ กสทช. ต้องแต่งตั้งคณะอนุกรรมการจากหน่วยงานต่างๆ จำนวน 7 หน่วยงาน มาเป็นผู้พิจารณากำหนดจำนวนเงินที่จะต้องจ่ายชดใช้ และ จ่ายค่าตอบแทนการเสียโอกาส ซึ่งอนุกรรมการจากหน่วยงานต่างๆ ของรัฐเป็นผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความเป็นกลาง ไม่มีส่วนได้เสียในการพิจารณา โดยที่กฎหมายยินยอมให้ กสทช. มีผู้แทน 1 คนร่วมเป็นอนุกรรมการในการพิจารณาด้วยและนอกจากนี้ เพื่อความรอบคอบ กฎหมายยังกำหนด ให้ กสทช. ต้องว่าจ้างสถาบันอุดมศึกษาที่เป็นของรัฐ จำนวน 3 แห่ง ทำการศึกษามูลค่า การเรียกคืนคลื่นความถี่และการทดแทน ชดใช้ และจ่ายค่าตอบแทนการเสียโอกาส จากการถูกเรียกคืนคลื่นความถี่ แล้วนำผลการศึกษาของทั้ง 3 สถาบัน มาประกอบการพิจารณาของ กสทช. ซึ่งสุดท้าย กสทช. ได้เลือกผลการศึกษาของ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพียงสถาบันเดียวมาประกอบการพิจารณา
3)เมื่อ กก.ผอ. ใหญ่ บมจ. อสมท ได้เข้าไปชี้แจง ในการประชุม กสทช. เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2563 ได้ทราบในการประชุมว่า คณะอนุกรรมการจาก 7 หน่วยงานมีความเห็นเสนอต่อ กสทช. ว่า ในการเยียวยาให้แก่ บมจ. อสมท และบริษัทเอกชนคู่สัญญา ให้จ่ายเฉพาะส่วนค่าตอบแทนการเสียโอกาส จากการถูกเรียกคืนคลื่นความถี่เพียงส่วนเดียวเท่านั้น โดยไม่ต้องจ่ายในส่วนของการชดใช้ และในการแบ่งสัดส่วนการจ่ายค่าตอบแทนให้แบ่งในสัดส่วนเท่าๆกัน แต่ในส่วนผลการศึกษาของ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีความเห็นว่า ให้จ่ายค่าตอบแทนการถูกเรียกคืนคลื่นทั้งหมดโดยตรงต่อ บมจ. อสมท โดยในส่วนของ บริษัท คู่สัญญาให้ได้รับการจ่ายค่าตอบแทนจาก บมจ. อสมท ตามข้อตกลงทางธุรกิจที่ได้ทำไว้ร่วมกัน ซึ่งความเห็นของคณะอนุกรรมการจาก 7 หน่วยงาน และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นความเห็นที่แตกต่างกัน
4)กก.ผอ.ใหญ่ บมจ. อสมท ได้รับแจ้งจาก กสทช. ในการประชุมเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2563 ว่า บมจ. อสมท จะต้องทำหนังสือยืนยันว่ามีความต้องการจะให้แบ่งสัดส่วนการจ่ายค่าตอบแทนอย่างไร ซึ่งเท่ากับว่าจะต้องเลือกตามความเห็นของคณะอนุกรรมการจาก 7 หน่วยงาน หรือตามความเห็นของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยซึ่งในการประชุมชี้แจงเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2563 ดังกล่าว กก.ผอ.ใหญ่ บมจ. อสมท ได้แจ้งต่อ กสทช. ว่าขอให้ กสทช. เป็นผู้กำหนดส่วนแบ่งการจ่ายค่าตอบแทนเพราะเป็นหน้าที่ตามกฎหมายของ กสทช. แต่ได้รับการยืนยันว่า บมจ. อสมท จะต้องทำหนังสือเสนอการแบ่งสัดส่วนการจ่ายค่าตอบแทนมาให้ก่อน กสทช. จึงจะพิจารณาให้ ทำให้กก.ผอ.ใหญ่ บมจ. อสมท จำเป็นต้อง ทำหนังสือแจ้งยืนยันรายละเอียดและสัดส่วนการชดใช้ หรือจ่ายค่าตอบแทนในการเรียกคืนคลื่นความถี่ไปยัง กสทช. ทั้งที่ได้มีความเห็นทักท้วงแล้วว่าเป็นหน้าที่ของ กสทช. ตามกฎหมาย ที่จะเป็นผู้กำหนดจำนวนเงินและสัดส่วนการจ่ายค่าตอบแทน ซึ่งต่อมา ได้มีการนำหนังสือแจ้งยืนยันดังกล่าวของกก.ผอ.ใหญ่ บมจ. อสมท ไปเผยแพร่ และมีการกล่าวหาว่ากก.ผอ.ใหญ่ บมจ. อสมท ดำเนินการเรื่องนี้โดยไม่มีอำนาจหน้าที่ และทำให้ บมจ. อสมท ต้องเสียเปรียบต่อบริษัทเอกชนคู่สัญญา
5)มื่อได้รับแจ้งว่า จำเป็นต้องทำหนังสือยืนยันการแบ่งสัดส่วนแล้ว กก.ผอ.ใหญ่ บมจ. อสมท จึงได้ทำหนังสือยืนยันต่อ กสทช. มีใจความว่า “สำหรับจำนวนสัดส่วนการชดใช้ หรือจ่ายค่าตอบแทนในการถูกเรียกคืนคลื่นความถี่ระหว่าง บมจ. อสมท กับ บริษัทคู่สัญญา ขอให้มีการพิจารณาแบ่งค่าตอบแทนดังกล่าวในจำนวนเท่าๆกันทั้งสองฝ่าย ซึ่งจะทำให้ บมจ. อสมท ไม่เป็นการเสียเปรียบแต่อย่างใด” การแจ้งยืนยันดังกล่าวมีเหตุผลในการพิจารณาตัดสินใจดังนี้
5.1)เนื่องจากมีความเห็นเสนอต่อ กสทช.ให้พิจารณาทางเลือกในการจ่ายค่าตอบแทน เป็น 2 ทางเลือก ระหว่างความเห็นของคณะอนุกรรมการจาก 7 หน่วยงาน ซึ่งมีความเห็นว่าไม่ต้องจ่ายค่าชดใช้ แต่ให้จ่ายเฉพาะค่าตอบแทนการเสียโอกาสและแบ่งสัดส่วนค่าตอบแทนการเสียโอกาสระหว่าง บมจ. อสมท กับ บริษัทเอกชนคู่สัญญาเท่ากัน กับความเห็นของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งมีความเห็นว่าให้จ่ายค่าตอบแทนการเสียโอกาสตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในสัญญาทางธุรกิจฯ ที่ บมจ. อสมท ได้ทำไว้กับบริษัทเอกชนคู่สัญญา ซึ่งเมื่อพิจารณาเปรียบเทียบทั้งสองความเห็นนี้แล้ว เห็นว่า ความเห็นของจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย จะทำให้ บมจ. อสมท ได้รับเงินส่วนแบ่งที่น้อยกว่าเป็นการเสียเปรียบบริษัทเอกชนคู่สัญญา เพราะตามสัญญาที่ทำร่วมกันได้กำหนดให้ บมจ. อสมท มีส่วนแบ่งรายได้จากรายได้รวมในอัตราร้อยละ 9 ด้วยเงื่อนไขที่กำหนดให้บริษัทเอกชนเป็นผู้ลงทุนและรับความเสี่ยงทั้งหมดในการดำเนินโครงการฯ และ บมจ. อสมท ไม่ต้องรับความเสี่ยงจากการขาดทุน แต่ถึงแม้จะมีส่วนแบ่งที่น้อยกว่า ก็ถือว่าเป็นรายได้ที่แน่นอนไม่มีความเสี่ยงจากการขาดทุน เพราะกำหนดส่วนแบ่งจากรายได้ มิใช่กำหนดส่วนแบ่งจากผลกำไรซึ่งไม่มีความแน่นอน แต่หากให้แบ่งสัดส่วนตามข้อตกลงในสัญญาแล้ว ก็จะทำให้ บมจ. อสมท ต้องได้รับส่วนแบ่งตามสัดส่วนที่กำหนดในสัญญา ซึ่งทำให้ได้รับเงินส่วนแบ่งเป็นจำนวนที่น้อยกว่า การเลือกส่วนแบ่งรายได้ตามความเห็นของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จึงทำให้ บมจ. อสมท ได้รับเงินส่วนแบ่งที่น้อยกว่า
5.2) ความเห็นของคณะอนุกรรมการจาก 7 หน่วยงาน ที่เสนอให้แบ่งสัดส่วนเท่าๆกัน แต่ไม่ได้ให้จ่ายค่าชดใช้เป็นความเห็นที่ทำให้ บมจ. อสมท ได้รับประโยชน์มากกว่า คือได้รับเงินส่วนแบ่งเป็นจำนวนที่มากกว่า เพราะแม้จะแบ่งสัดส่วนในจำนวนที่เท่ากัน แต่ บมจ. อสมท ไม่มีภาระในการจ่ายเงินลงทุน ทำให้ยังเหลือ เงินส่วนแบ่งที่ได้รับเต็มจำนวน ขณะที่บริษัทคู่สัญญา มีภาระที่จ่ายเงินลงทุนไป เมื่อหักกลบเงินที่ลงทุนไปแล้ว จึงทำให้ได้รับเงินส่วนแบ่งไม่เต็มจำนวน และมีจำนวนน้อยกว่าที่ บมจ. อสมท ได้รับ และที่สำคัญ บมจ. อสมท ยังมีข้อผูกพันตามสัญญากับบริษัทเอกชนคู่สัญญา จึงไม่สามารถเป็นผู้กำหนดสัดส่วนการแบ่งเงินรายได้ที่ได้รับจากการเยียวยาได้ตามใจชอบต้องเป็นไปในกรอบของสัญญาด้วย
5.3) ด้วยเหตุผลดังกล่าว จึงยืนยันให้ กสทช. พิจารณากำหนดแบ่งค่าตอบแทนในจำนวนเท่าๆกันซึ่งเป็นไปตามความเห็นของคณะอนุกรรมการจาก 7 หน่วยงานที่เสนอต่อ กสทช. จึงเป็นประโยชน์ต่อ บมจ. อสมท มากกว่า มิได้ทำให้ บมจ. อสมท เสียเปรียบต่อบริษัทเอกชนคู่สัญญาตามที่มีการกล่าวหา แต่ประการใด การดำเนินการดังกล่าว ก็เพื่อส่งผลให้องค์กรซึ่งรอรับเงินเยียวยาชดเชยที่ล่าช้ามานาน ได้รับมติที่เสร็จสิ้นโดยเร็ว อันเป็นประโยชน์ของผู้ถือหุ้นอย่างแท้จริง
สำหรับขั้นตอนต่อไป บมจ. อสมท ต้องรอเอกสารอย่างเป็นทางการจากสำนักงาน กสทช.เพื่อจะพิจารณารายละเอียดอื่นๆ ที่จะตามมา เช่น ระยะเวลาของการเบิกจ่ายค่าเยียวยา และอื่นๆ