หนุ่มเมืองจันท์ : การตลาดย้อนศร

บทความ โดย หนุ่มเมืองจันท์
คอลัมน์ Market-think
โดย สรกล อดุลยานนท์

ในขณะที่แพลตฟอร์มต่างประเทศพยายามดึงให้คนมาใช้งาน

เผาเงินทำตลาดในช่วงแรก ๆ

พอได้ข้อมูลมากพอก็นำมาหารายได้

ส่วนใหญ่คิดจะปล่อยสินเชื่อ หรือผลิตภัณฑ์ด้านการเงิน

เพราะจากข้อมูลจะรู้ว่าลูกค้าแต่ละรายมีรายรับ-รายจ่าย เท่าไร

ปล่อยกู้ได้ไหม

แอปอย่าง Grab Lineman Get ฯลฯ ก็คิดแบบนี้

ยิ่งตอนนี้การสั่งอาหารแบบดีลิเวอรี่

มาแรงขึ้นเรื่อย ๆ

ข้อมูลก็ยิ่งเยอะ

ทุกแบงก์เห็นเกมนี้ก็หนาว ๆ ร้อน ๆ กันเป็นแถว

เพราะเห็นความสำเร็จที่เมืองจีนมาแล้ว

จนเมื่อวันก่อน แบงก์ไทยพาณิชย์เปิดเกมใหม่

คิดสวนทาง

แทนที่จะรอให้แอปเหล่านั้นพัฒนามาเป็น “คู่แข่ง”

เขาทำ “การตลาดย้อนศร” เลย

คือ ทำแอปสั่งอาหารแบบดีลิเวอรี่ขึ้นมาเลย

ชื่อว่า “โรบินฮู้ด”

เล่นบทพระเอก ด้วยการไม่คิดค่า GP กับร้านอาหารที่เข้าร่วมโครงการ

เท่าที่ทราบ “โรบินฮู้ด” แรงมาก

ทุกร้านอาหารพร้อมเข้าร่วม เพราะไม่เสียอะไรเลย

ค่า GP ที่เคยจ่ายให้แอปอื่น ๆ 25-35% ก็ไม่ต้องจ่าย

ทุกอย่างดีหมด

แต่จะมีคนสั่งมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับค่าใช้จ่ายรวมของค่าอาหาร+ค่าจัดส่ง สู้กับเจ้าอื่นได้หรือไม่

เพราะ “ลูกค้า” จะดูเรื่องนี้เป็นหลัก

มีคนบอกว่า กลยุทธ์นี้ของแบงก์ไทยพาณิชย์น่าสนใจมาก

เพราะพวกแอปทั้งหลายถ้าจะลงมาลุยเรื่องการเงิน มีขั้นตอนขออนุญาตมากมาย

ไม่ใช่เรื่องง่าย

แต่แบงก์ไปทำแอป แทบจะไม่ต้องขออนุญาตอะไรเลย

เดินเครื่องได้เร็วกว่า

และถ้าแผนนี้สำเร็จ แบงก์ก็จะได้ข้อมูลลูกค้ารายย่อยจำนวนมาก ทำให้การปล่อยสินเชื่อมีประสิทธิภาพ

มากขึ้น

ที่ผ่านมาปัญหาของธุรกิจเอสเอ็มอี มีอยู่เรื่องเดียว คือ “หนี้เสีย” เยอะมาก

แบงก์ต้องปล่อยดอกแพง เพราะโอกาสเกิด “หนี้เสีย” สูง

แต่ถ้าข้อมูลที่ได้จาก “โรบินฮู้ด” แม่นยำว่า ร้านอาหารร้านไหนขายได้เดือนละเท่าไร

มีกำลังจ่ายแค่ไหน

การปล่อยสินเชื่อก็จะแม่นขึ้น

และถ้าหนี้เสียน้อยมาก ๆ แบงก์ก็ไม่ต้องคิดดอกเบี้ยต่ำกว่าเดิมได้

นี่คือ วิธีคิดการตลาดแบบย้อนศร ของแบงก์ไทยพาณิชย์

ส่วนนักการตลาดของศูนย์การค้า ก็ต้องคิด “ย้อนศร” เหมือนกัน

เพราะหลังไวรัสโควิด มาตรการรักษาระยะห่าง และไม่ให้คนมารวมตัวกันเยอะ ๆ กลายเป็นโจทย์ที่ยากมากของนักการตลาด

ตามปกติทำแคมเปญอะไรก็ตาม เป้าหมายก็คือ ให้คนมาร่วมงานเยอะ ๆ

ยิ่งเยอะ ยิ่งประสบความสำเร็จ

แต่วันนี้ไม่ใช่…

ล่าสุดที่ “เมเจอร์” โดน ก็คือ การจัดกิจกรรม live สดของดาราดัง

“หยิ่น-วอร์”

แม้จะจัดในโรงหนัง แต่แฟนคลับที่รู้ข่าว มารอกันหน้าโรง

เกิดเป็นภาพที่คุณหมอทั้งหลายไม่สบายใจ

เพราะคนจำนวนมากเบียดเสียดกันหน้าโรงหนัง

กลายเป็นเรื่องราวใหญ่โต

ทีมการตลาดของศูนย์การค้า

ต่าง ๆ ตอนนี้ไม่กล้าออกอาวุธอะไรเลย

แม้ยอดคนเข้าศูนย์การค้าจะน้อยมาก

ร้านค้าบ่นกันทั่ว

ถ้าเป็นสถานการณ์ปกติ ศูนย์การค้าต่าง ๆ จะออกแคมเปญหนัก ๆ เพื่อเรียกคนแล้ว

แต่วันนี้ทำไม่ได้

ต้องคิดการตลาดแบบ “ย้อนศร”

ทำแคมเปญอะไรก็ได้ ที่ทำให้คนมาเยอะกว่านี้

แต่ไม่เยอะมากจนแน่นห้าง

ไม่เบียดเสียดกันเกินไป

แค่คิดก็เหนื่อยแล้ว

เป็นโจทย์ที่ยากมาก ๆ เลย