“นิวเวฟ”ผุดยุทธศาสตร์ใหม่ ชิงดีมานด์ยุคเน็กซ์นอร์มอล

“นิวเวฟ” ขยายไลน์อัพ-ช่องทางจำหน่ายรับดีมานด์เครื่องใช้ไฟฟ้าชิ้นเล็กยุคเน็กซ์นอร์มอล ทั้งเทรนด์ปาร์ตี้ที่บ้าน ทำอาหาร-ขนมยังมาแรง ก่อนปรับการตลาดชูโพซิชั่นโรงงานหวังสร้างความเชื่อมั่นรับมือตลาดแข่งขันดุ พร้อมลีนองค์กรฝ่าวิกฤตต้นทุนรักษาช่องว่างราคากับอินเตอร์แบรนด์ มั่นใจยอดขายเติบโต 20% แตะ 240 ล้าน

นายนรินทร์เดช ทวีแสงพานิชย์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทย ฮาเบล อินดัสเตรียล จำกัด ผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าชิ้นเล็กแบรนด์ “นิวเวฟ” และทีวี “อัลตรอน” เปิดเผยว่า ปัจจุบันเครื่องใช้ไฟฟ้าชิ้นเล็กมูลค่าประมาณ 2 หมื่นล้านบาท เซ็กเมนต์เครื่องใช้ไฟฟ้าสำหรับการเตรียมและทำอาหาร

รวมถึงการดูแลสุขภาพส่วนบุคคล เช่น เตาปิ้งย่าง หม้อสุกี้ เตาอบ เครื่องสับ-ปั่น ปัตตะเลี่ยน เครื่องโกนหนวด ฯลฯ ถือเป็นเซ็กเมนต์ดาวรุ่งจากการเติบโตสวนทางกับตลาดรวมที่หดตัวต่อเนื่องช่วงปี 2563-2564 ที่ผ่านมา

และเชื่อว่ากระแสนี้จะดำเนินต่อเนื่องในปี 2565 ด้วยเช่นกัน จากพฤติกรรมผู้บริโภคที่เข้าสู่เน็กซ์นอร์มอล (next normal) โดยเฉพาะการรับประทานอาหารที่บ้านในครอบครัว หรือกลุ่มเพื่อนฝูงแบบปาร์ตี้แอตโฮมที่จะเป็นปัจจัยในการสร้างความต้องการเตาปิ้งย่างหรือหม้อสุกี้ไซซ์ใหญ่ให้มีมากขึ้น

เช่นเดียวกับกลุ่มอุปกรณ์อบที่ต้องการฟังก์ชั่นสูงขึ้นแต่ขนาดเล็กลง หลังผู้บริโภคจำนวนหนึ่งสนใจและจริงจังกับกิจกรรมนี้มากขึ้น รวมถึงร้านกาแฟและคาเฟ่เริ่มกลับมาเปิดอีกครั้ง

นอกจากนี้ ตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้ายังเกิดความเปลี่ยนแปลงหลายด้าน ซึ่งเป็นทั้งโอกาสและความท้าทาย ไม่ว่าจะเป็นช่องทางการจำหน่ายหลากหลายและแปลกใหม่มากขึ้น อาทิ ร้านสะดวกซื้อ ร้านอุปกรณ์สำนักงาน ร้านหนังสือ ฯลฯ

ไปจนถึงการจับมือกับแบรนด์ร้านอาหารเพื่อผลิตสินค้าพรีเมี่ยมสำหรับเป็นของแถมและสำหรับแคมเปญการตลาด ส่งผลให้ตลาดนี้มีการแข่งขันดุเดือดทั้งด้านราคาและดีไซน์หลังผู้เล่นหน้าใหม่ทั้งไทยต่างประเทศที่ทยอยเข้าสู่ตลาดในช่วงที่ผ่านมาและปัจจุบันยังคงเพิ่มขึ้น

“สำหรับช่องทางออนไลน์ แม้จะมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี โดยเฉพาะในช่วงที่มีการล็อกดาวน์ แต่อีกด้านหนึ่งก็จะพบว่าไม่สามารถครอบคลุมดีมานด์ทั้งหมดในตลาดได้

ดังนั้น ช่องทางออฟไลน์อื่น ๆ ยังคงมีความสำคัญและจำเป็นจะต้องรุกเข้าไป และปัจจุบันกำลังซื้อของกลุ่มแมสน่าจะยังไม่ฟื้นตัว สะท้อนจากช่วงปลายปี 2564 ทีวีอัลตรอนไซซ์เล็กกลับมาขายดีอีกครั้ง แสดงว่าผู้บริโภคยังต้องการสินค้าแต่กำลังซื้อไม่เพียงพอ”

นายนรินทร์เดชกล่าวต่อไปว่า ทิศทางของนิวเวฟจากนี้ไปจะเดินหน้าขยายทั้งไลน์อัพสินค้าและช่องทางจำหน่ายใหม่ ๆ รวมถึงการทุ่มงบประมาณด้านการทำการตลาดและปรับกลยุทธ์เพื่อรองรับเทรนด์เน็กซ์นอร์มอลและการแข่งขันดุเดือดในตลาด

รวมถึงปรับการบริหารจัดการเพื่อรับมือสถานการณ์ต้นทุนวัตถุดิบและราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น โดยในส่วนของไลน์สินค้าใหม่นั้นปีนี้จะเน้นกลุ่มที่ขายดี อาทิ หม้อสุกี้ เตาปิ้งย่าง และเครื่องปั่นสับ

พร้อมเพิ่มไซซิ่งหรือขนาดความจุใหม่ ๆ และปรับสีสันให้สดใสมากขึ้น เช่น แดง เหลือง ฟ้า จากเดิมที่ใช้สีโทนอ่อนแบบพาสเทล เพื่อความแปลกใหม่และสร้างความโดดเด่น-ดึงดูดสายตาผู้บริโภคให้กับชั้นวางสินค้าของแบรนด์

ขณะเดียวกัน ก็มีแผนการขยายช่องทางจำหน่ายแบบออฟไลน์ใหม่ ๆ หลังจากที่ผ่านมาผลตอบรับในช่องทางของบีทูเอส และออฟฟิศเมทดีมาก เช่นเดียวกับกลยุทธ์การจับมือพันธมิตรกับร้านอาหารต่าง ๆ

เพื่อผลิตสินค้ารุ่นพิเศษสำหรับเป็นของพรีเมี่ยมแถมเมื่อสั่งอาหารไปทานที่บ้าน ซึ่งอยู่ระหว่างเจรจากับหลายราย หลังปี 2563 ประสบความสำเร็จในการจับมือกับบาบีคิวพลาซ่า เอ็มเค ซูกิชิ ฯลฯ จนมียอดขายกว่า 1 แสนชิ้น

สำหรับกลยุทธ์การตลาด ช่วงครึ่งปีแรกจะมุ่งสร้างความน่าเชื่อถือในสินค้าและบริการหลังการขาย ซึ่งเป็นปัจจัยแข่งขันสำคัญไปยังผู้บริโภคกลุ่มแมส ด้วยการเน้นย้ำโพซิชั่นเป็นโรงงานที่พัฒนา ออกแบบและผลิตสินค้าเองผ่านสื่อออนไลน์และเว็บไซต์

เปิดขายอะไหล่สินค้าผ่านออฟฟิเชียลเว็บของแบรนด์ร่วมกับการเป็นสินค้าที่ผ่านมาตรฐาน มอก. รวมถึงจับมือช่องทางจำหน่ายเตรียมจัดโรดโชว์เมื่อสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 คลี่คลาย ส่วนทิศทางครึ่งปีหลังนั้นยังต้องจับตาดูสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ว่าจะมีทิศทางเป็นอย่างไร

“นอกจากนี้ เรายังจะมีการปรับระบบลงทะเบียนรับประกันสินค้าให้จูงใจและง่ายมากขึ้น เพื่อรวบรวมข้อมูลลูกค้ามาสร้างบิ๊กดาต้าก่อนจะนำไปต่อยอดด้านการตลาดในอนาคต เช่น กลุ่มสินค้า ราคา 400-500 บาท จะเพิ่มสิทธิลุ้นรางวัลต่าง ๆ เพื่อจูงใจและสร้างลอยัลตี้ด้วยนโยบายรับประกันสินค้า 2 ปี รับประกันความเสียหายจากการใช้งานสูงสุด 1 แสนบาท และสิทธิพิเศษอื่น ๆ”

นายนรินทร์เดชกล่าวในตอนท้ายว่า ส่วนการรับมือสถานการณ์ต้นทุนที่เพิ่มขึ้น บริษัทจะเน้นการเพิ่มความถี่ของการสั่งวัตถุดิบต่าง ๆ เพื่อเฉลี่ยราคารับมือความผันผวน พร้อมกับนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาช่วยลดความซ้ำซ้อน-ซับซ้อนในการทำงานหรือลีนองค์กร เพื่อให้ปรับราคาสินค้าขึ้นน้อยที่สุด

และรักษาความได้เปรียบด้านช่องว่างราคาเมื่อเทียบกับอินเตอร์แบรนด์เอาไว้ โดยภาพรวมปีนี้ตั้งเป้ายอดขาย 260 ล้านบาทเติบโต 20% จากปีก่อน และใน 3-5 ปีที่จะเติบโตอย่างยั่งยืนจากการมีช่องทางจำหน่ายหลากหลาย และปรับสินค้าให้เหมาะกับแต่ละช่องทาง รวมขยายไปครองตลาดกัมพูชา ลาว และเมียนมา ใน 5 ปี