“เอ็กโซติคฟู้ด” ปูพรมส่งออก ขนซอสพริกกัญชงเสริมทัพ

เอ็กโซติค ฟู้ด

“เอ็กโซติค ฟู้ด” เปิดเกมรุกเดินหน้าขยายตลาดส่งออก ชูจุดขายรสชาติความเป็นไทย ล่าสุด เปิดตัวซอสพริกกัญชง เสริมทัพซอสพริกศรีราชา เตรียมส่งบุกตลาดจีน-ยุโรป พร้อมทำการตลาดทุกรูปแบบ หวังขึ้นแทนผู้นำตลาดเครื่องปรุงรสโลก ซื้อที่ดิน 40 ไร่ สร้างโรงงานใหม่-ขยายกำลังผลิตรับดีมานด์ตลาด

นางสาวพิชญดา ศศิวงศ์ภักดี ผู้จัดการสายงานบัญชีและการเงิน บริษัท เอ็กโซติค ฟู้ด จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ซอสปรุงรส และน้ำจิ้มต่าง ๆ เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ถึงภาพรวมตลาดซอสปรุงรสในช่วงสถานการณ์โควิด-19 กว่า 2 ปีที่ผ่านมาว่า มีแนวโน้มการเติบโตต่อเนื่อง

โดยเฉพาะตลาดส่งออกที่เติบโต 20% หรือมีมูลค่ารวมกว่า 26,394 ล้านบาท หลัก ๆ มาจากกลุ่มซอส อาทิ ซอสพริก ซอสถั่วเหลือง ซอสมะเขือเทศ น้ำปลา และผงชูรสที่ได้รับอานิสงส์จากมาตรการล็อกดาวน์ ร้านอาหารต้องปิดให้บริการ มีการทำงานที่บ้าน (work from home) ซึ่งทำให้ผู้บริโภคหันมาเน้นการประกอบอาหารกินเองที่บ้านมากขึ้น

เช่นเดียวกับเอ็กโซติค ฟู้ด ที่ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา (2563-2564) มียอดขายเติบโตขึ้น แต่เมื่อโควิดเริ่มคลี่คลาย ช่วงไตรมาส 1/65 บริษัทมีรายได้ 347 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อน 3.79 ล้านบาท หรือลดลง 1.08% เนื่องจากหลายประเทศเริ่มผ่อนคลายมาตรการ ผู้คนเริ่มออกมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ การประกอบอาหารทานเองลดลง จึงทำให้ยอดขายสินค้าลดลงไปด้วย

ปัจจุบันบริษัทผลิตสินค้าและส่งออกคิดเป็นสัดส่วน 99% มีฐานลูกค้าหลัก ๆ อยู่ใน 95 ประเทศ จัดจำหน่ายสินค้าผ่านดิสทริบิวเตอร์ เป็นผู้กระจายสินค้าทั้งค้าส่งและค้าปลีก มีสินค้ากลุ่มซอสปรุงรสและน้ำจิ้ม ภายใต้แบรนด์เอ็กโซติคฟู้ดเป็นสินค้าหลัก มีสัดส่วน 80% ของยอดขาย ที่เหลือเป็นยอดขายของแบรนด์ไฟลิ่งกู๊ด และซอสพริกศรีราชา

ขณะที่การทำตลาดในประเทศ มีเพียง 1% และรายได้ส่วนใหญ่มาสินค้าบางรายการที่มีการจำหน่ายสินค้าในห้างสรรพสินค้า รวมถึงช่องทางออนไลน์

“ความท้าทายการทำตลาดในต่างประเทศ หรือการแข่งขัน จะไม่สูงเหมือนตลาดในประเทศ โดยบริษัทใช้กลยุทธ์เน้นสินค้าที่ผลิตจากไทยเป็นจุดขาย อาทิ ซอสพริกศรีราชา ประกอบกับการพัฒนาสินค้ารสชาติใหม่ ๆ ต่อเนื่อง ล่าสุด ได้ลอนช์ซอสพริกที่มีส่วนผสมของกัญชง ออกมาทำตลาดทั้งในไทยและต่างประเทศ และวางแผนเตรียมนำซอสกัญชงบุกตลาดจีนและยุโรปด้วยเพื่อสร้างการเติบโต ซึ่งคาดว่าจะสามารถช่วยเพิ่มมาร์จิ้นให้บริษัทได้มากขึ้น ส่วนในไทยเน้นการขายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ อาทิ ช้อปปี้ ลาซาด้า และ Line My Shop ในขนาด 200 มิลลิกรัม ราคา 120 บาท”

นางสาวพิชญดา เผยต่อว่า พร้อมกันนี้ บริษัทยังมุ่งให้ความสำคัญกับการพัฒนาสินค้า ด้วยนวัตกรรมต่าง ๆ โดยเน้นรสชาติความเป็นสินค้าของคนไทย เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับโปรดักต์ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ก่อนหน้านี้ได้จัดกิจกรรมให้พนักงานเข้ามามีส่วนร่วมในการออกแบบและช่วยกันคิดค้นโปรเจ็กต์ใหม่ ๆ

โดยปี 2564 ที่ผ่านมาได้ออกผลิตภัณฑ์กลุ่มซอสปรุงรสและน้ำจิ้มไป 5 รายการ และในปี 2565 มีแผนออกสินค้าใหม่อีก 5-10 รายการ ทั้งซอสปรุงรสและน้ำจิ้ม เพื่อผลักดันให้บริษัทเป็นผู้นำในตลาดเครื่องปรุงรสในระดับโลก

นอกจากนี้ ยังเตรียมขยายช่องทางจำหน่ายสินค้าเพิ่มในกลุ่มประเทศยุโรป ตะวันออก ออสเตรเลีย และจีน ควบคู่กับการทำการตลาดสื่อสารแบรนด์ ผ่านคอนเทนต์การทำอาหาร ทั้งช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ รวมถึงการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายตามช่องทางต่าง ๆ เช่น การแจกรางวัล ของที่ระลึก แจกสินค้าตัวอย่าง รวมทั้งการจัดโปรโมชั่นในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อกระตุ้นการจับจ่าย และการออกบูทในงานแสดงสินค้าเป็นระยะ ๆ เพื่อขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มใหม่ ๆ

“แม้บริษัทจะทำตลาดในต่างประเทศเป็นหลัก แต่ฐานการผลิตทั้งหมดยังอยู่ในไทย โดยเมื่อปลายเดือนเมษายน 2565 บริษัทได้ลงทุนซื้อที่ดิน 40 ไร่ เพื่อสร้างโรงงานใหม่ที่นิคมอุตสาหกรรมโรจนะ แหลมฉบัง เพื่อมาทดแทนโรงงานเก่า เพื่อรองรับการขยายตลาดและโอกาสทางธุรกิจในอนาคต ปัจจุบันบริษัทมีสินค้ารวมทั้งหมด 700 เอสเคยู ใน 4 กลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่มซอสปรุงรสและน้ำจิ้ม สัดส่วนประมาณ 81% รองลงมาคือ กลุ่มเครื่องปรุงแกงและเครื่องประกอบอาหาร 12% ส่วนที่เหลือ คือ กลุ่มอาหารสำเร็จรูปพร้อมรับประทาน ส่วนสินค้ากลุ่มเครื่องดื่มที่กำไรน้อยบริษัทได้ตัดออกแล้ว และวางนโยบายขยายตลาดในกลุ่มสินค้าที่กำไรดี และมีโอกาสโตมากกว่า” นางสาวพิชญดากล่าว