ดัชนีค้าปลีกหดตัวต่อ 3 เดือน พิษสินค้าแพง ผู้บริโภคชะลอจับจ่าย

ดัชนีค้าปลีก

ดัชนีค้าปลีกหดตัวต่ออีก 3 เดือน จากพิษราคาสินค้าแพง ผู้บริโภคชะลอจับจ่าย ชง 4 ข้อรัฐอัดเงินเข้าระบบฟื้นเศรษฐกิจ

วันที่ 6 กรกฎาคม 2565 นายฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์ รองประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย เปิดเผยว่า สมาคมร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย ทำการสำรวจความเชื่อมั่น (Retail Sentiment Index หรือ RSI) ) ของผู้ประกอบการค้าปลีก

พบว่าเดือนมิถุนายน 2565 ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ค้าปลีก (RSI) อยู่ที่ 48.9 ปรับลดลง 4.4 จุด เทียบกับดัชนีเดือนพฤษภาคม 2565 อยู่ที่ 53.3 จุด เป็นการลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นที่ปรับตัวลดลง ส่งผลมาจากภาวะค่าครองชีพที่ปรับเพิ่มสูงขึ้น เข้ามาซ้ำเติมกำลังซื้อของผู้บริโภค

คาดการณ์ว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ค้าปลีกในอีก 3 เดือนข้างหน้าลดลง 4.4 จุดเช่นกัน จากระดับ 58.7 จุด ในเดือนพฤษภาคม มาที่ 54.3 จุดในเดือนมิถุนายน แสดงให้เห็นถึงความกังวลต่อแนวโน้มต้นทุนการดำเนินธุรกิจและราคาสินค้าที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

รวมถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศที่คาดการณ์ว่าจะถูกปรับลดลง ภาวะเงินเฟ้อ และดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มจะดีดตัวเพิ่มขึ้นตามสถานการณ์เศรษฐกิจโลก

ทั้งนี้ ผลการสำรวจรอบนี้ พบว่ามีการเพิ่มขึ้นของยอดใช้จ่ายต่อใบเสร็จ 6.5 จุด อยู่ที่ระดับ 52.2 เป็นการเพิ่มขึ้นจากราคาสินค้าที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ไม่ได้เกิดจากการจับจ่ายที่เพิ่มขึ้น (เป็นไปในทิศทางเดียวกับดัชนีเงินเฟ้อที่ปรับเพิ่มขึ้น 7%) ขณะที่การทำกิจกรรมนอกบ้านมีทิศทางที่เพิ่มขึ้น นับตั้งแต่การเปิดโรงเรียน การกลับเข้าสู่สถานที่ทำงาน ของทั้งภาคเอกชนและรัฐ แต่ความถี่ในการจับจ่าย กลับลดลง 5 จุด อยู่ที่ระดับ 50.0 และยอดขายสาขาเดิม Same Store Sale Growth (SSSG-YoY) ปรับลดลง 6.5 จุด

แน่นอนว่า บ่งบอกถึงพฤติกรรมผู้บริโภคที่ชะลอการจับจ่าย พร้อมทั้งกำลังซื้อที่อ่อนลง ทำให้การจับจ่ายโดยรวมไม่เติบโต ซึ่งผู้บริโภคมุ่งเน้นซื้อสินค้าที่จำเป็น ลดการบริโภค ซึ่งเป็นสัญญาณที่ไม่ค่อยดีนัก จึงจำเป็นต้องมีมาตรการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยอย่างเร่งด่วน

ขณะเดียวกันภาคค้าปลีกและบริการของไทยได้รับผลกระทบจากวิกฤตสงครามรัสเซีย-ยูเครนโดยตรงน้อยมาก แต่ได้รับผลกระทบโดยอ้อมผ่านราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นที่กระทบกับเงินเฟ้อ ราคาสินค้า และค่าครองชีพ

อีกทั้งการฟื้นตัวของกำลังซื้อในประเทศยังไม่ปรับตัวดีขึ้น และยังต้องเผชิญกับต้นทุนการผลิตที่ปรับสูงขึ้น การลงทุนภาคเอกชนชะลอตัวลงจากความเชื่อมั่นที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีปัจจัยลบมากมาย แต่ก็ยังมีปัจจัยบวก นับตั้งแต่กิจกรรมทางเศรษฐกิจได้รับปัจจัยหนุนจากมาตรการที่ผ่อนคลายมากขึ้น การเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติแบบไม่กักตัวสำหรับผู้ที่ได้รับวัคซีนครบ โดยคาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติถึงสิ้นปีอยู่ที่ 7.5 – 10 ล้านคน ซึ่งคาดว่าจะมาเติมกำลังซื้อ ได้บ้าง

ดังนั้น สมาคมฯ ขอย้ำ 4 ข้อเสนอต่อภาครัฐ

1.นโยบายกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยยังคงต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ตรงเป้าและโดยเร็ว ภาครัฐยังคงต้องรักษาแรงขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจจากการใช้จ่ายของภาคครัวเรือน ไว้อย่างต่อเนื่องตลอดปี โครงการต่าง ๆ ต้องมุ่งเน้นไปกลุ่มผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อที่สามารถสร้างการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจได้เร็ว อาทิ โครงการช้อปดีมีคืน โครงการริเริ่มสร้างเมืองปลอดภาษีให้ผู้มีกำลังซื้อจับจ่ายในประเทศแทนที่จะนำเงินไปจับจ่ายต่างประเทศ

2.รัฐต้องกำกับดูแลกลไกตลาดเพื่อให้ราคาสินค้าเคลื่อนไหวสอดคล้องกับต้นทุนการผลิต หากสินค้าปรับราคาสูงขึ้นเป็นจำนวนมาก ก็จะเป็นภาระต่อค่าครองชีพที่สูงต่อประชาชน แต่ถ้าไม่อนุญาตให้ปรับราคา ผู้ผลิตก็จะเลี่ยงไม่ขึ้นราคา แต่ไปปรับลดไซซ์-ปริมาณสินค้า เพราะทนต่อการแบกต้นทุนไม่ไหว

3.เร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานโดยภาครัฐ ไตรมาสที่สี่ (กรกฎาคม-กันยายน) ซึ่งเป็นไตรมาสสุดท้ายของปีงบประมาณ ภาครัฐต้องเร่งรัดการดำเนินการโครงการทั้งขนาดเล็ก และขนาดใหญ่อย่างทั่วถึงและรวดเร็ว เพื่อเร่งสร้างเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ผ่านการจัดจ้างการดำเนินงาน และสนับสนุนให้ SMEs เข้าถึงการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐมากขึ้น

4.สนับสนุนการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและบริการอย่างต่อเนื่อง ยกระดับศักยภาพภาคการท่องเที่ยวให้มีคุณภาพและยั่งยืน จัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวที่มีศักยภาพและมีกำลังซื้อสูง รวมถึงพิจารณามาตรการสินเชื่อและมาตรการอื่น ๆ เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการให้สามารถกลับมาประกอบธุรกิจได้อย่างเต็มที่

อย่างไรก็ตาม สรุปภาพรวมดัชนีความเชื่อมั่นผู้ค้าปลีกไทยในเดือนมิถุนายน 2565 ยังน่ากังวล ปัจจัยเสี่ยงราคาน้ำมันยังอยู่ในระดับสูงเป็นเวลานาน และราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นในชีวิตประจำวันมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอีก

ถือเป็นช่วงที่ภาครัฐต้องเดินหน้าผลักดันเศรษฐกิจของประเทศให้ดีขึ้นผ่านกลุ่มผู้บริโภคที่ยังคงมีกำลังซื้ออยู่ การฟื้นฟูเศรษฐกิจโดยการกระตุ้นการบริโภคผ่านนโยบายของภาครัฐ ยังถือเป็นหัวใจสำคัญในการเดินหน้าประเทศไทย

พร้อมกับการกำกับดูแลกลไกตลาดเพื่อให้ราคาสินค้าเคลื่อนไหวสอดคล้องกับต้นทุนการผลิต ซึ่งที่ผ่านมาภาครัฐได้ดำเนินการมาในทิศทางที่ถูกต้องแล้ว และควรผลักดันให้มีมาตรการเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนของเศรษฐกิจประเทศไทย