“สุรชาติ” แนะ“บิ๊กตู่”เตรียม 3 ขนาน หากกลับมาเป็นนายกฯต่อ เหตุคุมส.ส.ไม่ได้ ด้าน”บรรยง” เชื่อยุทธศาสตร์ชาติ-ปฏิรูปประเทศจะรัดกุมขึ้นหลังผู้มีอำนาจตัดสินใจ “ปริญญา” ชี้ นี่คือยุค สมาร์ทเดโมเครซี อนาคตยึดอำนาจยากขึ้นเรื่อยๆ “อิสริยะ” เชื่อเกมนี้ไม่จบง่ายๆ แนะเซ็ตซีโร่ คสช.
เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2562 ที่โรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ ซอยรางน้ำ กรุงเทพฯ บริษัท มติชน จำกัด(มหาชน) จัดสัมมนาเรื่อง “เลือกตั้ง 62 จุดเปลี่ยนประเทศไทย” โดยได้เชิญนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญด้านต่าง ๆ มาเสวนา ประกอบด้วย นายสุรชาติ บำรุงสุข อาจารย์ประจำภาควิชาการเมืองระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นายโคทม อารียา ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาและพัฒนาสันติวิธี มหาวิทยาลัยมหิดล นายปริญญา เทวานฤมิตรกุล รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นายบรรยง พงษ์พานิช ประธานกรรมการบริหารธนาคารเกียรตินาคินฯ และอดีตคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ และนายอิสริยะ ไพรีพ่ายฤทธิ์ ผู้ร่วมก่อตั้ง Blognone
- ลูกแม่ค้าขายผัก-พ่อขับแท็กซี่ สู่เก้าอี้ “ปลัดพลังงาน” บทพิสูจน์ชีวิต “ดร.ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ”
- NETA X ขาย มิ.ย.นี้ ราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท หลัง MOU สรรพสามิต
- KBANK ปรับโครงสร้างใหญ่ ลดจำนวนบอร์ด ตั้ง 4 เอ็มดีเป็น “ผู้จัดการใหญ่” มีผล 1 พ.ค.67
นายโคทม กล่าวว่า เรื่องต่างๆดีขึ้นตามลำดับ ซึ่งเราก็ต้องช่วยกันทำให้มันดี มีมือถือก็เอามาถ่าย มาฟ้องพฤติกรรมนั้นๆต่อสังคม แต่อย่าใส่ร้ายหรือทำให้ใครเสียหาย และอย่าเหมารวม การเลือกตั้งจะมีความชอบธรรมเมื่อการเลือกตั้งเป็นไปโดยบริสุทธิ์ ยุติธรรม และเป็นการเลือกที่ผลการเลือกตั้งมาจากประชาชนจริงๆ ทั้งนี้ ตนคิดว่า การออกไปใช้สิทธิไม่น่าจะถึง 80 เปอร์เซ็นต์ แต่คิดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 75 เปอร์เซ็นต์
นายสุรชาติ กล่าวว่า แม้จะประกาศวันเลือกตั้งวันที่ 24 มีนาคมแล้ว แต่เรายังถกกันว่าจะมีเลือกตั้งหรือไม่ มันสะท้อนว่าการเมืองไทยไร้เสถียรภาพอย่างถึงที่สุด ถ้าถามว่าตนห่วงอะไร ต้องบอกว่าห่วงคสช.แพ้ เพราะตนอยากเห็น พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯภายใต้เงื่อนไขยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีและรัฐธรรมนูญที่เป็นสถาปัตยกรรมชุดใหญ่ของนายมีชัย ฤชุพันธ์ เพราะตอนนั้นเขาจะไม่มีมาตรา 44 แต่ควรหาแพทย์พระมงกุฎฯ เตรียม 3 ขนาน คือ ยาบำรุงหัวใจ ยาบำรุงประสาท และยากล่อมประสาทให้นอนหลับ เพราะบุคลิกของพล.อ.ประยุทธ์ที่เราเห็น เมื่อไปอยู่ในระบบการเมืองแบบเปิดของรัฐสภา ย้อนกลับไปดูสมัยจอมพลสฤษดิ์ หลังยึดอำนาจในปี 2500 จอมพลถนอมเขียนจดหมายส่งจอมพลสฤษดิ์ซึ่งรักษาอาการป่วยที่กรุงวอชิงตัน สรุปเรื่องหนึ่งที่ใหญ่ที่สุด คือ คุมส.ส.ไม่ได้ ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการรัฐประหารในปี 2501 เมื่อดูการเมืองไทย จะเห็นว่า รัฐบาลทหารที่ไหนเมื่อแปลงร่างเป็นรัฐบาลเลือกตั้งแล้วจะคุมสภาได้
ทั้งนี้สิ่งที่ตนกลัวสิ่งที่ 2 คือ กลัวจะมี เผ่า ศรียานนท์ คนที่ 2 ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นทหาร แต่จะเล่นบทบาทเดียวกันคือ “โกงได้โกง” เงื่อนไขการเลือกตั้งในปัจจุบันเป็นเดิมพันครั้งใหญ่ของการเมืองและสังคมไทย ซึ่งตนกลัวว่าสภาวะแบบปี 2500 จะกลับมา กลัวที่ 3 ซึ่งมีการพูดกันน้อยคือ ความจุกจิกหยุมหยิม ไม่ชัดเจนของกฎหมายลูกหลายอย่างเปิดช่องให้ตีความจนไม่รู้จะตีความอย่างไร นักสถาปนิกของคสช.กำลังออกแบบให้การเมืองไทยหลังการเลือกตั้ง 24 มีนาคม ยุ่งเหยิง วุ่นวาย โกลาหล ปั่นป่วน ซึ่งตนขอแนะนำให้ผู้ที่สนใจสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังการเลือกตั้ง ไปซื้อหนังสือโหรมติชน เพราะการเดินทางของดวงดาวตอบได้มากกว่านักวิชาการ นอกจากนี้ ยังมีประเด็นว่าจะตั้งคณะรัฐมนตรีกันอย่างไร ซึ่งรอบนี้เดาไม่ได้ จะตั้งรัฐบาลผสมก็อาจคุมสภาไม่ได้ แต่ถ้าฝันจะเป็นแบบ ม.ร.ว.คึกฤทธ์ ปราโมชแบบในปี 2518 ซึ่งเป็นนักการเมืองที่เก่ง ต้องถามว่า พล.อ.ประยุทธ์ มีขีดความสามารถทางการเมืองขนาดนั้นไหม
นายบรรยง กล่าวว่า จะเห็นได้ว่าแผนยุทธศาสตร์ชาติ และแผนปฏิรูปประเทศ ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ เพราะรายละเอียดเยอะมาก แต่มีการเขียนไว้เพียงหลวมๆ ยังไม่มีอะไรที่ชัดเจน อาจตั้งข้อสังเกตได้ว่าที่ยังไม่มีความชัดเจนเพราะ ผู้มีอำนาจอาจจะยังไม่รู้ว่าในปัจจุบันนี้จะเขียนอย่างไร เพราะกลัวเขียนไปวันนี้จะไปผูกมัดกับตัวเองในอนาคตข้างหน้า หรือ อาจจะดึงเอาไว้ก่อน เพราะแผนที่เขียนไปอาจจะกลายเป็นการบีบบังคับตัวเองไปด้วย
“กฎหมายที่เขียนมามีแต่คำสวยหรู เช่นเขียนว่าให้ร่วมกันแก้ไขปัญหาประเทศ ขจัดปัญหาความเหลื่อมล้ำ เขียนหลวมๆเท่านี้ ความเหลื่อมล้ำ ถ้าแก้ไขได้โดยการเขียนกฎหมายหลวมๆ ใครก็ทำได้ ตอนนี้กลายเป็นว่ารัฐ กลายเป็นลิงทอดแห และทำให้ประชาชนอย่างเราติดร่างแหไปด้วย ที่ทุกอย่างยังไม่ชัดเจนก็เพราะว่าท่านต้องรอเวลาตัดสินใจก่อนว่าจะลงเลือกตั้งหรือไม่ เชื่อผมว่าให้คอยจับตาดู หากท่านลงเล่นการเมืองและตอบรับการเสนอชื่อเป็นนายกฯ กฎหมายจะออกมาแบบควบคุมทันที ถ้าจะให้ประเทศไปได้ดีที่สุด ผมว่าท่านอย่ามาลงเลย” นายบรรยง กล่าว
ขณะที่นายปริญญา กล่าวว่า ก่อนจะถึงวันหย่อนบัตรเลือกตั้งที่ห่วงอยู่ คือ 1.จะใช้โมเดลพล.อ.เปรม ตินสูลานนท์ ตนมองว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะพล.อ.เปรมไม่ได้รัฐประหาร ไม่มีสัญญาที่ต้องคืน และไม่ได้ร่างรัฐธรรมนูญ และจะใช้โมเดลของม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมทย์ ก็เป็นไปไม่ได้ เพราะการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นระบบสัดส่วน คนจะกล้าเลือก 2.วันนี้ท่าทีของปชป.ไม่ชัดเจน จึงถูกมองว่าไปอยู่ข้างพปชร. และจะยกมือให้พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งจะเป็นข้อเสียของพรรคปชป.เอง เพราะหากคิดว่าจะใช้หีบบัตรเลือกตั้งเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศไทย แล้วจะเลือกปชป. ก็คิดว่า จะได้พล.อ.ประยุทธ์กลับมาเหมือนเดิมก็ไม่เลือก ดังนั้น ปชป.ควรมีท่าทีที่ชัดเจนกว่านี้
นอกจากนี้ คนเริ่มรู้สึกว่า กกต. ท่านดูจะเกรงใจคสช.มากพอสมควร ซึ่งหากนายกฯเ้ขามาเป็นแคนดิเดตนายกฯเมื่อไหร่ ท่าทีของการเกรงใจคสช. คงจะเป็นคำถามต่อบทบาทในการจัดการเลือกตั้ง เพราะอย่าลืมว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ กกต.มีอำนาจมากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา ที่ผ่านมาจะสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่สักหน่วยต้องเป็นมติของกกต. แต่ครั้งนี้ เพียงกกต. 1 คน สามารถสั่งให้การเลือกตั้งในหน่วยใดๆก็ตามเลือกตั้งใหม่ได้ ต่อให้จะให้กกต.มาตรวจสอบภายหลังแต่การเลือกตั้งก็หยุดไปแล้ว นอกจากนี้ กกต.ยังเพิ่มจากจาก 5 คน เป็น 7 คน ซึ่งแต่ละคนมีอำนาจเยอะ ถ้าคนไม่เชื่อมั่นต่อการทำงานของกกต. ท่านลองคิดดูว่าผลเสียจะเกิดขึ้นมากแค่ไหน นี่คือสิ่งที่ตนเป็นห่วง
เมื่อถามว่า บรรยากาศการเลือกตั้งครั้งนี้คลายการเลือกตั้งหลัง รสช. ปี 35 นายปริญญา กล่าวว่า กติกาคล้ายกันมาก แม้จะไม่เหมือนแต่ก็คล้ายกัน และที่สำคัญ คือมีคนร่างคนเดียวกันนั่นก็คือ นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ซึ่งตนเคยบอกว่า การเมืองไทยจะเป็นการเมืองแบบ 3 ก๊ก เราจะบอกว่า ปชป. กับ พท. ไม่มีทางรวมกันได้ ไม่จริง เพราะมันไม่มีใครที่ได้เสียงมากพอตั้งรัฐบาลได้ หากอยากเป็นรัฐบาลก็ต้องเอาเสียง 2 พรรคมารวมกัน เพื่อให้เกิดการต่อรอง เป็นทางเดียวที่มี เพราะการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นบัตรใบเดียวทำให้ 2 พรรคใหญ่นี้มีแต่ส.ส.แบบแบ่งเขต ผู้ออกแบบเจตนาทอนกำลังของพรรคขนาดใหญ่ วิธีการแก้เกมส์ของพท.ที่กรธ.ก็คิดไม่ถึง คือการแบ่งพรรค เพื่อแบ่งคะแนนกัน แต่เรื่องนี้ยังพูดไม่ได้ตลอดจนกว่าจะได้เห็นผู้สมัครทั้งหมดก่อน ซึ่งถ้าเขาฉลาดพอ ผลจะออกมาเป็นประโยชน์ แต่ถ้าแก้เกมพลาด ผลจะกลายเป็นไปตัดคะแนนกันเอง ซึ่งเท่ากับว่า 3 พรรค คือ ปชป. พท. พปชร. จะมีจุดอ่อนไปคนละแบบ ของพท.คือยังแยกไม่ออกกับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ส่วนปชป. จุดอ่อนคือ แข่งกับพท.มา 4 ครั้งก็แพ้ตลอด เป็นต้น นอกจากนี้ อำนาจรัฐบาลในการดึงส.ส. เพื่อมายกมือให้ตัวเองนั้นจะคงอยู่ตลอดไปไหม
เมื่อถามว่า คิดว่าจะมีการทำรัฐประหาร และมีการประท้วงใหญ่เกิดขึ้นอีกหรือไม่ นายปริญญา กล่าวว่า 1.ถ้าพล.อ.ประยุทธ์มาตามรัฐธรรมนูญ แปลว่าผ่านการเห็นชอบแล้ว ตนคิดว่าก็มีความชอบธรรม ดังนั้น ตนจึงคิดว่าคงไม่เกิดการประท้วงแบบที่ผ่านมาในอดีต 2.ตนคิดว่าการโกงจะไม่เกิดขึ้น เพราะยุคนี้คือยุค 4.0 เราทุกคนมีเทคโนโลยีในมือ และ กกต. ต้องทำให้คนเชื่อมั่นว่าจะไม่มีการโกงเกิดขึ้น และหากพล.อ.ประยุทธ์ลงบัญชีนายกฯ ภาพที่ฝ่ายไม่เอาพล.อ.ประยุทธ์ จะตั้งรัฐบาลโดยไม่มีปชป. และพปชร. เป็นไปได้ยาก และรัฐธรรมนูญฉบับนี้ออกแบบมาให้แก้ไม่ได้ใน 5 ปีแรก ดังนั้น 5 ปีแรกจึงเป็นช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่าน คสช. เป็นคณะยึดอำนาจแรกที่อยู่ได้นานขนาดนี้ คนเฉย เพราะแตกแยกเป็น 2 ข้าง ทหารเลยมาปกครองเรา ถ้าเราปกครองกันเองได้ทหารจะมาได้อย่างไร นี่คือบทเรียนของเรา และเราต้องพิสูจน์ให้เขาเห็นว่า เราปกครองตัวเองเป็น ทั้งนี้ การยึดอำนาจเป็นไปได้ยากมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะยุคนี้คือ ยุค 4.0 เป็นสมาร์ทเดโมเครซี ไม่ใช่ยุคที่ คสช. จะมาสั่งใครได้ว่าจะให้ทำอะไร ตนจึงมองโลกในแง่ดีกว่า เลือกตั้งวันที่ 24 มีนาคมคือจุดเริ่มเปลี่ยน ตนเชื่อว่าเราเปลี่ยนผ่านได้ แต่อยู่ที่ว่าวันที่ 24 มีนาคม เราจะออกไปร่วมกันเปลี่ยนประเทศไทยหรือไม่
นายอิสริยะ กล่าวว่า ตนเชื่อว่า ผลการเลือกตั้งมี 2 ทาง คือ ทางที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะเป็นนายกฯต่อ แต่ตอนนี้อารมณ์มวลชนไม่เอา คสช. ถ้าพล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯต่อ ตนนึกไม่ออกเลยว่าจะเป็นอย่างไร ส่วนอีกทาง คือ หากพรรคที่ไม่ใช่ พปชร. ชนะ แล้ว พล.อ.ประยุทธ์ ไม่เป็นนายกฯต่อ ในวันรุ่งขึ้นจะมีภาพ พล.อ.ประยุทธ์ถือกล่องเก็บของกลับบ้านหรีอไม่ ตนคิดไม่ออกว่ามันจะจบเกมง่ายๆอย่างนี้เลย หรือ มันจะต้องมีการเซ็ทซีโร่ คสช. ต่อไป
อย่างไรก็ตามในฐานะตัวแทนคนรุ่นใหม่ที่อยากเลือกตั้ง ขอให้ชวนกันไปใช้สิทธิ ขออย่าดูเบอร์ผิด อย่าไปตายน้ำตื้นกาเบอร์ผิดหน้าคูหา
ที่มา:มติชนออนไลน์