สมคิด-บิ๊กป้อม เงาผู้จัดการรัฐบาล วัดกำลัง ส.ส.-งูเห่าเสาวภาถอนพิษการเมือง

การเมืองหลังวันเลือกตั้ง 24 มีนาฯ 62 กลับไม่ได้-ไปไม่ถึง เมื่อพรรคขั้วพันธมิตรพรรคเพื่อไทย (พท.) ที่เรียกตัวเองว่า “ฝ่ายประชาธิปไตย” และเรียกขั้วพันธมิตร “พรรคพลังประชารัฐ” (พปชร.) ว่า “ฝ่ายสืบทอดอำนาจ” ต่างชิงไหวชิงพริบ ชิงพรรค-ชิงพวกเพื่อรวบรวมเสียงเป็น “พรรคแนวร่วมรัฐบาล” 251 เสียง++

พรรคเพื่อไทย ชูตัวเลขจำนวนเก้าอี้ ส.ส.ในสภาอันดับ 1 เพื่อชิงความได้เปรียบจัดตั้งรัฐบาล ขณะที่ พปชร. หักล้างด้วยตัวเลข popular vote ในหีบเลือกตั้งมากที่สุด สร้างความชอบธรรมเพื่อชิงความได้เปรียบ

ฟาก พปชร. สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ประกาศรายชื่อผู้ได้คะแนนสูงสุดรายจังหวัด/เขต (ส.ส.ระบบเขต) อย่างไม่เป็นทางการ 97 ที่นั่ง

ขณะที่ “คะแนนดิบ” เพื่อนำไปคิด-คำนวณ เป็นจำนวน ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ (ปาร์ตี้ลิสต์) ณ วันที่ 28 มี.ค.-100 เปอร์เซ็นต์ พปชร.กวาดไปทั้งหมด 8,433,137 คะแนน-สูงที่สุดของทุกพรรคการเมือง

ต้องชนะ 3 คูหา

แม้ พปชร.จะทราบจำนวน ส.ส.เขต (อย่างไม่เป็นทางการ) 97 ที่นั่ง และ “คะแนนดิบ” 100% ราว 8.4 ล้านคนเพื่อบวก-ลบเป็นจำนวน ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ 97 ที่นั่ง รวมอย่างเป็นทางการ ทั้ง ส.ส.เขต-ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ 21 ที่นั่ง รวม 118 ที่นั่ง

แม้จะมี “เสียงขั้นต่ำ” เพียงพอ 126 เสียงเพื่อดัน “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีเข้าทำเนียบอีกวาระ ทว่าเมื่อหมากเกมการจัดตั้งรัฐบาลต้องชนะเบ็ดเสร็จทั้ง 3 คูหา ทำให้ พปชร.ต้องใช้บริการเสริม-ตัวช่วยหลัก

คูหาที่ 1 บัลลังก์ประธานสภา-ผู้เสนอชื่อนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ซึ่งต้องใช้เสียง 251 เสียงจากสภาผู้แทนฯ คูหานี้ เป็นเครื่องบรรณาการให้แก่พรรคการเมืองขนาดกลางตัวแปรที่เป็นกำลังสำคัญ

คูหาที่ 2 เก้าอี้นายกรัฐมนตรี ซึ่งต้องใช้ 376 เสียง หรืออย่างน้อย พปชร. ต้องมี 126 เสียง บวกกับเสียง 250 ส.ว. คูหานี้ “สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์” เลขาธิการ พปชร. ตั้งเงื่อนไข-ยื่นคำขาดในการเจรจาชื่อเดียวเท่านั้น คือ “พล.อ.ประยุทธ์”

คูหาที่ 3 การรวมเสียง “พรรคร่วมรัฐบาล” 270-300 เสียง เพื่อคงเสถียรภาพของรัฐบาล-ยกมือโหวตร่างกฎหมายสำคัญ อาทิ พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี กฎหมายการเงิน กระทู้ถามสด ญัตติการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ

สมคิด-บิ๊กป้อม ผู้จัดการรัฐบาล

หัวใจสำคัญในการจัดตั้งรัฐบาลในครั้งนี้ ทั้ง “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” กุนซือรัฐบาล-คสช. ตัวจริงเสียงจริง ผู้อยู่เบื้องหลังนินจา-4 กุมาร และ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พี่ใหญ่รัฐบาล-คสช. จึงต้องรับบท “ผู้จัดการรัฐบาล” จัดตั้งรัฐบาลบิ๊กตู่ 2

ขณะนี้ “สมคิด” ผู้มากคอนเน็กชั่นกับนักการเมืองทุกขั้วค่าย เชื่อมได้กับนายทุน-ขุนศึก ต้องเว้นวรรควาระเศรษฐกิจ-เมกะโปรเจ็กต์แสนล้านเพื่อเดินสายต่อรอง-ร่วมวงเจรจาสานประโยชน์-วางตำแหน่งมัดจำไว้ล่วงหน้า 8 พรรค 246 เสียง

ขณะที่ “บิ๊กป้อม” ผู้มีบารมีทั้งนักการเมือง-นักการทหารและผู้กลั่นกรอง ส.ว. 250 คน โดยเฉพาะคอนเน็กชั่นกับคนการเมืองคนสำคัญ “เนวิน ชิดชอบ” ผู้มีบารมีแห่งภูมิใจไทย ทันทีที่เห็นหน้า-เห็นหลังผลการเลือกตั้ง “บิ๊กป้อม” ก็เช็กยอด-เช็กกำลังในค่ายทหารทันที

งูเห่าเสาวภาแก้พิษเดดล็อก

“ผู้จัดการรัฐบาลรุ่นเก๋า” อีกคน-สุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้ก่อตั้งพรรคร่วมพลังประชาชาติไทย (รปช.) แม้จะกำลังอ่อนแรงลงไป แต่ก็ยังสามารถดีลกับพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.)

โดยเฉพาะว่าที่ ส.ส.ปชป.-อดีตแกนนำ กปปส. อาทิ นายถาวร เสนเนียม ว่าที่ ส.ส.สงขลา นัด ว่าที่ ส.ส.ที่สอบได้ และ สอบตก 27 คน อาทิ ชุมพล จุลใส ว่าที่ ส.ส.ชุมพร นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ ว่าที่ ส.ส.นครศรีธรรมราช นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ว่าที่ ส.ส.ตรัง นายชัยวุฒิ บรรณวัฒน์ ว่าที่ ส.ส.ตาก และ “จิตภัสร์ กฤดากร” อาจรวมไปถึง “แนน บุณย์ธิตา สมชัย” บุตรสาว “อิสระ สมชัย” กำหนดท่าทีไปร่วมงานกับ พปชร.หรือไม่ “ถาวร” กล่าวว่า ส่วนตัวยืนยันว่าพรรคประชาธิปัตย์ควรไปร่วมงานกับพรคพลังประชารัฐ เพาะเป็นพรรคที่ได้คะแนนเสียงจากประชาชนมากที่สุด

นอกจากนี้ยังมีข่าวลือ-ข่าวปล่อย-ข่าวดักทาง “งูเห่าสีส้ม-งูเห่าสีแดง” ที่พร้อมจะฟักเป็นตัวมาร่วมงานกับขั้ว พล.อ.ประยุทธ์-พปชร.

ล็อกรัฐบาลผสม 270 เสียง

“สนธิรัตน์” พ่อบ้าน พปชร. เสี่ยงทายการฟอร์มรัฐบาลหลังเลือกตั้งว่า คาดว่าจะเป็นรัฐบาลผสม ต้องมีรัฐบาลที่มั่นคง อย่าตั้งเงื่อนไขตั้งแต่วันแรก เพราะรัฐธรรมนูญ 2560 จะทำให้เจอทางตัน

“รัฐธรรมนูญถูกออกแบบให้เราได้บางส่วน และเพื่อนเราได้บางส่วน เราได้ทั้งหมดไม่ได้ และไม่มีดีลที่จะได้ทุกอย่างภายใต้โครงสร้างแบบนี้ ซึ่งจะนำไปสู่โครงสร้างรัฐบาลสมานฉันท์ รัฐบาลประนีประนอม”

“ไม่มีพรรคใดพรรคหนึ่งได้เสียงข้างมากแบบเบ็ดเสร็จ ต้องมีทั้งพรรค ทั้งพวก มีพรรค 2 เสียง 3 เสียงร่วมรัฐบาล เป็นรัฐบาลหลายพรรค 4-5 พรรค พรรคการเมืองอันดับ 1 ต้องมี 130 เสียงเป็นอย่างน้อย”

“สุเทพ” ผู้จัดการมือเก๋า ฟันธงว่า เสถียรภาพของรัฐบาลจะต้องใช้ 270 เสียง !!!

“พอเป็นนายกฯเสร็จก็ดำเนินการจัดตั้งรัฐบาล ก็เรียกพรรค ก.มา มามั้ย คุณมีเงื่อนไขอะไร เรียกพรรค ข.มา เรียกพรรค ค.มา ผมเคยเป็นผู้จัดการรัฐบาล ผมทำเป็น รวมแล้วได้ 270 เสียง กฎหมายเข้าสภาเมื่อไรก็ผ่านหมด”

“ถ้าผมเป็น พล.อ.ประยุทธ์ ผมก็ต้องระวัง ไม่ให้ฝ่ายทักษิณรวบรวมพรรคการเมืองจนมีเสียงเกิน 251 เสียง ไม่งั้นจะเป็นอุปสรรคในการทำงานของรัฐบาล เป็นนายกฯก็จริง แต่เสนอกฎหมายอะไรก็แพ้หมด”

“เปรมโมเดล 2019”

ทว่าถึงที่สุดแล้ว ถ้าทั้ง 2 ขั้วยังรวบรวมเสียงได้ “ปริ่มน้ำ”-เกิด “เดดล็อก” เกมเปลี่ยนเป็น 4 พรรคขนาดกลางทั้ง ปชป. ภท. ชทพ. และ ชพ. เป็นแกนสำคัญ-เสียงมากกว่า พปชร. จนนำไปสู่สูตรใหม่ “นายกรัฐมนตรีนอกสภาตามรัฐธรรมนูญ” หรือ “เปรมโมเดล 2019” โดยใช้เสียง 2 ใน 3 ของ 2 สภา หรือ 500 เสียง จาก 750 เสียง เพื่อเปิดทาง “นายกฯนอกสภา”-ฝ่าสุญญากาศทางการเมือง…ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

ทักษิณ-สุดารัตน์-ภูมิธรรม

ขณะที่ “กองกำลังต้านลุงตู่” นำโดย ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี คนแดนไกล นายใหญ่เพื่อไทย-คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์เลือกตั้งพรรคเพื่อไทย- ภูมิธรรม เวชยชัย เลขาธิการพรรคเพื่อไทย คือ แกนหลักสำคัญเปิด “ดีล” เจรจาพันธมิตรการเมือง ให้มาร่วมสู้กับขั้วสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์

บนเงื่อนไขที่ “ยอมทุกอย่าง” แม้แต่ “เก้าอี้นายกรัฐมนตรี” สมบัติที่ล้ำค่าที่สุดก็ยังยกให้ ไม่มีกั๊ก

ขั้นแรกล็อกพันธมิตร 7 พรรค ร่วมกันจัดตั้งรัฐบาล 253 เสียง หวังต้องการ “แพ็กเสียง” ให้เห็นว่าพันธมิตรฝั่งเพื่อไทย มี 250 เสียง+ครอบครองเสียงข้างมากในสภาล่างไว้ได้เรียบร้อยแล้ว

ทว่า…ที่เห็นไม่ใช่-ที่ใช่ไม่เห็น ในทางการเมืองไม่มีใครเป็นมิตร-ศัตรูถาวร “เพื่อไทย” จึงลงสัตยาบันล็อกมือไม่ให้ไปไหน

แต่จากการประกาศคะแนนเลือกตั้ง 100 เปอร์เซ็นต์ จาก กกต. ฝ่ายพันธมิตรเพื่อไทย เสียงหายไป 2 แต้ม

ปาร์ตี้ลิสต์ อนาคตใหม่จาก 88 เหลือ 87 ที่นั่ง เสรีรวมไทย จาก 12 เหลือ 11 ที่นั่ง

ยังไม่นับตัวปัจจัยใบเหลือง-ใบส้ม ที่พรรคเพื่อไทยยังผวา ที่ “ภูมิธรรม เวชยชัย” ย้ำกับ ส.ส.ให้ระวังที่สุด แพ้คะแนนไม่กลัว…กลัวแพ้ฟาวล์

เกมตั้งรัฐบาลยังสูสีคู่คี่ไปจนกว่าจะถึง 9 พฤษภาคม ที่ กกต.จะเผยตัวเลข ส.ส.ทั้งหมดที่แท้จริง