โฆษกเพื่อชาติ ย้อนถาม “บิ๊กตู่” รักชาติจริงหรือไม่ วอนเสียสละอำนาจประกาศ

เมื่อวันที่ 27 เมษายน น.ส.เกศปรียา แก้วแสนเมือง โฆษกพรรคเพื่อชาติ กล่าวว่า ขอถาม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่า รักชาติจริงไหม ถ้ารักชาติจริงช่วยพิจารณาตนเอง แล้วประกาศว่า “ผมพอแล้ว”โดยการเสียสละอำนาจเพื่อความสุขของคนไทย เพราะผลงาน 5 ปีที่ผ่านมาของ พล.อ.ประยุทธ์ ทำเศรษฐกิจฐานรากพังพินาศอยู่ในระดับคนจนเมืองในหมู่บ้านจัดสรรต้องเลี้ยงไก่เพื่อนำไข่มาทำอาหารยังชีพแล้ว ตลาดนัดพากันปิดตัวมีแต่ผู้ขายไม่มีผู้ซื้อ แม้แต่ตลาดคลองผดุงกรุงเกษมก็ยังต้องปิดตัว เพราะช่วงหลังมีแต่ผู้ขายไม่มีผู้ซื้อ รวมทั้งหลักฐานการแจกเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจรวมในรอบ 1 ปีที่หนังสือพิมพ์ไทยรัฐรวบรวมมาให้ว่า เป็น “รัฐบาลจอมแจก” ครองอันดับ 1 ของโลก เป็นใบเสร็จว่ารัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ บริหารเศรษฐกิจผิดพลาดร้ายแรง สร้างคนจน 14.5 ล้านคน

น.ส.เกศปรียา กล่าวว่า หนึ่งปีเศษที่ผ่านมานับตั้งแต่รัฐบาลจัดตั้ง โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือที่เรียกกันว่า “บัตรคนจน” โดยมีคนจนลงทะเบียนรับบัตรไปทั้งสิ้น 14.5 ล้านคน และ รัฐบาลแจกเงินคนจน 14.5 ล้านคนไปแล้วกว่า 120,000 ล้านบาท แต่ก็ยังไม่หายจน ยังไม่นับการแจกเงินข้าราชการบำนาญ 24,700 ล้านบาท แจกเงินชาวสวนยาง สวนปาล์มอีก 18,000 ล้านบาท เศรษฐกิจฐานรากก็ยังไม่ฟื้น ล่าสุด รัฐบาลกำลังจะแจกเงินอีก 22,000 ล้านบาทให้ประชาชน 14 ล้านคน เพื่อนำไปใช้จ่ายและท่องเที่ยวกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ มาตรการ แจกเงินฟรี 22,000 ล้านบาทในครั้งนี้ ทำให้เกิดคำถามขึ้นว่า เกิดอะไรขึ้นกับเศรษฐกิจในประเทศ คนไทยมีความสุขที่สุดในโลกจริงหรือ ทำไมรัฐบาลต้องทุ่มเงินกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศมากมายขนาดนี้ รัฐบาลบอกว่า เศรษฐกิจยังดี จีดีพี ปีนี้ยังเติบโต 3.8% น้อยกว่าปีที่แล้วนิดเดียวเอง แสดงว่ารัฐบาลนี้รู้ทั้งรู้ว่าเศรษฐกิจฐานรากกำลังจะล่มสลาย การแจกเงินถี่ๆ กระตุ้นเศรษฐกิจคือใบเสร็จความผิดพลาดในการบริหารเศรษฐกิจของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์

น.ส.เกศปรียา กล่าวอีกว่า ความผิดพลาดในการบริหารเศรษฐกิจของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ยังมีใบเสร็จที่เป็นรายงานของหน่วยงานระหว่างประเทศอีกหลายหน่วยงานที่รายงานออกมาในช่วงนี้ ดังนี้ 1. ธนาคารโลกรายงานว่าปี 2562 นี้ประเทศไทยอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจต่ำที่สุดใน 10 ประเทศอาเเซียน ต่ำกว่า ลาว เขมร และพม่า 2. รายงานของสำนักข่าวเอเอฟพี ระบุว่า ไทยเป็นประเทศแห่งความเหลื่อมล้ำ คนไทยจดทะเบียนเป็นคนจนเพื่อขอรับสวัสดิการจากรัฐเป็นจำนวนกว่า 14.5 ล้านคน คนร่ำรวยที่สุด 20% แรกของประชากรถือครองสินทรัพย์ 80 % ความไม่เท่าเทียมกลายเป็นอุปสรรคของไทยในการก้าวไปสู่การเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจก้าวหน้า 3. รายงานผลวิจัยของ หูหรุน รีพอร์ต (Hurun Report) ของจีนที่เปิดเผยทำเนียบมหาเศรษฐีโลก ประจำปี 2019 ระบุว่า ในปีนี้ ประเทศที่มีมหาเศรษฐีระดับพันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นจำนวนมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ จีน สหรัฐฯ เยอรมนี สหราชอาณาจักร และอินเดีย ติดตามด้วยสวิตเซอร์แลนด์ รัสเซีย บราซิล โดยมีไทยก้าวขึ้นมาอยู่ในอันดับที่ 9 จากอันดับที่ 12 เมื่อปีที่ผ่านมา นับถึงเดือนมกราคม 2019 ไทยมีมหาเศรษฐี 50 คน ในขณะที่ญี่ปุ่นรั้งอันดับที่ 13 ด้วยจำนวนมหาเศรษฐี 38 คน ตามด้วยเกาหลีใต้ (36 คน) และสิงคโปร์อยู่ในอันดับที่ 16 ด้วยจำนวนมหาเศรษฐี 31 คน รายงานระบุว่า ในปีนี้ ไทยมีมหาเศรษฐีเพิ่มขึ้น 6 คน ซึ่งเมื่อปีที่แล้วเพิ่มขึ้น 12 คน โดยมหาเศรษฐีหน้าใหม่ส่วนใหญ่มาจากซีพีกรุ๊ป โดยมหาเศรษฐีของไทยมีสินทรัพย์รวมกัน 153,000 ล้านดอลลาร์ฯ หรือกว่า 4.9 ล้านล้านบาท มากกว่างบประมาณรายจ่ายประจำปีของไทยในปี 2562 อยู่ที่ 3 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.6 % จากปีก่อนหน้า

“ความผิดพลาดในการบริหารเศรษฐกิจที่สร้างความเหลื่อมล้ำเกิดภาวะรวยกระจุกจนกระจายมากขนาดนี้ ถ้าพล.อ.ประยุทธ์รักชาติจริงอย่างที่กล่าวอ้าง ต้องพิจารณาตัวเองว่าเวลา 5 ปีที่ถ่วงรั้งประเทศบริหารจนเศรษฐกิจฐานรากเข้าสู่วิกฤติ ควรจะรู้จักพอยอมเสียสละอำนาจให้ผู้อื่นเข้ามาบริหารประเทศ จะทำให้พล.อ.ประยุทธ์ยังมีที่ยืนในประวัติศาสตร์ แต่ถ้ายังยึดติดอำนาจทำให้เศรษฐกิจฐานรากพังพินาศ ส่งผลทำให้ประเทศชาติพังพล.อ.ประยุทธ์ก็จะพังยิ่งกว่า อย่าลืมว่า ความกลัวอำนาจเผด็จการจะหมดไปตราบใดที่ประชาชนอดอยาก”

น.ส.เกศปรียา กล่าวอีกว่า การยึดติดอำนาจของพล.อ.ประยุทธ์ นอกจากเศรษกิจฐานรากจะพังพินาศแล้ว ความขัดแย้งในสังคมบานปลายอีกด้วย เดิมมีความขัดแย้ง 2 กลุ่มคือ เผด็จการอนุรักษ์นิยม กับฝ่ายประชาธิปไตยเสรีนิยม แต่ขณะนี้เพิ่มคู่ขัดแย้งใหม่อีก 1 คู่ คือ คสช.และกองทัพวัยร่วงโรยแย่งชิงอำนาจจากคนรุ่นใหม่วัยดิจิตอล ที่นับวันความขัดแย้งยิ่งกว้างมากขึ้นเพราะความอยากสืบทอดอำนาจต่อของ คสช. และพล.อ.ประยุทธ์ ด้วยความพยายามทุกวิถีทางที่จะเอาเปรียบกลั่นแกล้งตัวแทนคนรุ่นใหม่และฝ่ายตรงข้าม เหมือนในนิทานหมาป่ากับลูกแกะ การพยายามเอาชนะด้วยการที่ไม่อายในการเป็นตัวโกง ไม่มีประชาชนที่ไหนรับได้ ดังนั้นขณะนี้พล.อ.ประยุทธ์ มีทางเลือก 2 ทาง ถ้าอยากมีอำนาจต่อก็เป็นได้แค่ “ผู้ที่ไม่อายที่จะเป็นตัวโกง” หรือประกาศว่า “ผมพอแล้ว” ก็จะได้เป็น “พระเอกแบบที่มีการเขียนชมตนเองไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์ของกรมศิลปากร”

 

 

 

 

ที่มา มติชนออนไลน์