ธนาธร ฟ้อง อานนท์-บุญเกื้อ โพสต์หมิ่น เรียกค่าเสียหาย 27 ล้าน

ธนาธรฟ้องหมิ่นเรียก 27 ล้าน
ภาพจากเพจเฟซบุ๊ก Thanathorn Juangroongruangkit - ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ

อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ “ธนาธร” เป็นโจทย์ฟ้อง อานนท์-บุญเกื้อ โพสต์หมิ่น เรียกค่าเสียหายรวม 27 ล้านบาท รอลุ้นว่าศาลจะรับฟ้องคดีหรือไม่

วันที่ 10 เมษายน 2564 มติชน รายงานว่า นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ เป็นโจทย์ฟ้อง นายอานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาทและหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 และ 328 เรียกค่าเสียหาย 24,062,475 ล้านบาท เมื่อวันที่ 9 เมษายน ที่ผ่านมา

คดีนี้โจทก์ฟ้องระบุว่า จำเลยเป็นอาจารย์ประจำหลักสูตรการวิเคราะห์ธุรกิจและวิทยาการข้อมูลคณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) มีตำแหน่งทางวิชาการเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ และเป็นผู้เปิดใช้บัญชีเพจเฟซบุ๊กชื่อ Arnond Sakworawich ” (หรืออานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์) มีผู้ติดตามไม่น้อยกว่า 74,000 คน

ต่อมาเมื่อวันที่ 5 มีนาคม เวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยได้กระทำความผิดต่อกฎหมายกล่าวคือ จำเลยได้โพสต์ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊กว่า “รู้ว่าเป็นที่ป่าสงวนแห่งชาติลงนามรับรู้แต่ก็ยังซื้อขายมาเป็นของตนเอง นี่จงใจทำผิดกฎหมายโดยเจตนาเลย คดีนี้ควรต้องเข้าคุกนะครับ ทำผิดโดยเจตนา ตั้งใจโกงที่แผ่นดิน มาเป็นสมบัติส่วนตัว ถือเป็นการโกงชาติ คนโกงชาติคนโกงแผ่นดินขนาดนี้เหรอครับ ที่จะบอกว่าให้ปฏิรูปสถาบันฯ ปฏิรูปตัวเองไม่ให้โกงชาติโกงแผ่นดินเสียก่อนเถิด”

บุคคลทั่วไปที่ได้เห็น ได้อ่านข้อความทั้งหมดประกอบกันย่อมเข้าใจได้ว่าโจทก์เป็นคนไม่ดี กระทำความผิดต่อกฎหมายบ้านเมือง คดโกงเอาที่ดินที่อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติมาเป็นของตนเองโดยทุจริต มีนิสัยเลวทราม ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วโจทก์ไม่ได้เป็นผู้กระทำความผิดตามกฎหมาย

การโพสต์ข้อความดังกล่าวของจำเลยลงในบริการเครือข่ายสังคมออนไลน์ผ่านระบบอินเตอร์เน็ตหรือเรียกว่าโซเชียลเน็ตเวิร์ก ซึ่งเป็นพื้นที่สาธารณะบนโลกออนไลน์และเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายทั่วโลก และมีผู้ใช้บริการเป็นจำนวนมาก ถือเป็นการใส่ความโจทก์ด้วยข้อความอันเป็นเท็จต่อบุคคลที่สามและประชาชน ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย เสื่อมเสียชื่อเสียง เกียรติยศทางทำมาหาได้ ฐานะทางสังคมและครอบครัว

เนื่องจากโจทก์เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในวงการธุรกิจ อันเป็นการหมิ่นประมาทใส่ความโจทก์ จึงขอใช้สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายทางแพ่งเป็นเงินจำนวน 24,062,475 บาท และให้ลบหรือหยุดเผยแพร่โพสต์หรือประกาศข้อความอันเป็นเท็จ ที่เป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ กับให้ลงประกาศโฆษณาคำพิพากษาในหนังสือพิมพ์ และเว็บไซต์และหรือแอปพลิเคชั่นเฟซบุ๊กของจำเลย เป็นเวลาติดต่อกัน 7 วัน

เหตุคดีนี้เกิดขึ้นทั่วราชอาณาจักรไทย

ทั้งนี้ ศาลรับไว้เป็นคดีหมายเลขดำ อ.077/2564 เพื่อไต่สวนมูลฟ้องว่าจะประทับรับฟ้องหรือไม่ต่อไป

ต่อมานายอานนท์โพสต์ข้อความถึงเรื่องนี้ว่า ดีใจที่มาฟ้อง เพราะเป็นโอกาสที่นายธนาธรจะต้องไปแถลงต่อศาลว่าตัวเองไม่ได้มีพฤติกรรมเช่นนั้น ตนจะได้เรียกพยานปรปักษ์และเอกสารอีกมากมายมาใช้ตรวจสอบต่อ พร้อมระบุว่า นายธนาธรทำตัวเป็นบุคคลสาธารณะก็ต้องถูกตรวจสอบได้

นอกจากนี้ นายธนาธร ยังได้ยื่นฟ้องนายบุญเกื้อ ปุสสเทโว ผู้ร่วมก่อตั้งพรรคไทยภักดี เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาทและหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 และ 328 เรียกค่าเสียหาย จำนวน 3 ล้านบาท

กรณีเมื่อวันที่ 2 มกราคมที่ผ่านมา เวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยได้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ ”บุญเกื้อ ปุสสเทโว” โพสต์ข้อความหมิ่นประมาทใส่ความโจทก์ นอกจากนี้จำเลยยังได้ตัดต่อภาพของ นางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ มารดาโจทก์ ทำให้โจทก็ได้รับความเสียหาย เสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง

การกระทำดังกล่าวของจำเลยเป็นการใส่ความโจทก์ด้วยข้อความอันเป็นเท็จโดยการโฆษณา และแอปพลิเคชั่นให้บริการเครือข่ายสังคมออนไลน์ผ่านระบบอินเตอร์เน็ตหรือเรียกว่าโซเชียลเน็ตเวิร์ก เป็นพื้นที่สาธารณะบนโลกออนไลน์ เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายทั่วโลก

เมื่อจำเลยมีเจตนาใส่ความหมิ่นประมาทโจทก์โดยการโฆษณา จงใจทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายแก่ชื่อเสียง เกียรติยศ อาชีพการงาน ทางทำมาหาได้ ฐานะทางสังคม ทำให้โจทก์เสื่อมเสียความน่าเชื่อถือและเสื่อมความนิยมศรัทธาในแวดวงการเมือง จึงขอใช้สิทธิเรียกร้องค่าเสียทายทางแพ่ง จำนวน 3 ล้านบาท

เหตุคดีนี้เกิดขึ้นทั่วราชอาณาจักรไทย ขอให้ศาลสั่งและบังคับจำเลยให้ลบหรือหยุดเผยแพร์โพสต์หรือประกาศข้อความอันเป็นเท็จในเว็บไซต์และเฟซบุ๊กของจำเลย กับให้ลงประกาศโฆษณาคำพิพากษาในหนังสือพิมพ์ 4 ฉบับ เว็บไซต์หรือเฟซบุ๊กของจำเลย เป็นเวลาติดต่อกัน 7 วัน

ทั้งนี้ ศาลได้รับคำฟ้องไว้เป็นคดีหมายเลขดำ อ.868/2564 เพื่อไต่สวนมูลฟ้องว่าจะประทับรับฟ้องคดีหรือไม่

ด้าน นายบุญเกื้อ กล่าวว่า ไม่รู้สึกกังวลเพราะเป็นการโพสต์แซวการเมือง ลักษณะขำ ๆ ตามความรู้สึกของตนเอง เพื่อไม่ให้ไปเครียดกับการเมือง แต่ถ้านายธนาธรติดใจ หรือได้รับความเสียหายก็เป็นสิทธิ์ที่จะทำได้ แต่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก่อนที่ตนจะมาดำเนินการเกี่ยวกับพรรคการเมืองอีกครั้ง

“ผมก็ไม่กังวลเพราะเราทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ ตอนนั้นยังไม่ได้ตั้งพรรคการเมือง จึงไม่ต้องระมัดระวังมาก ก็เป็นลักษณะความคิดส่วนตัวที่ว่าเราเห็นเรื่องอะไร เห็นข่าวอะไรก็นำมาเปรียบเปรย เอามาแซวลักษณะขำ ๆ แต่ถ้ามองเรื่องความรับผิดชอบทางการเมืองอย่างตอนนี้ ตนก็จะไม่ค่อยทำแล้ว เพราะว่าเราระมัดระวังมากขึ้น ” นายบุญเกื้อกล่าว

นายบุญเกื้อ กล่าวอีกว่า จะต้องปรึกษาทนายความเพื่อดูว่าฟ้องเรื่องอะไร ตนจะไม่ปฏิเสธเรื่องการโพสต์หรือการกระทำของเรา เพียงแต่ดูเหตุผลว่าเป็นอย่างไร เมื่อมาเปรียบเทียบกับสิ่งที่นายธนาธรและครอบครัวทำ กับสิ่งที่คนทั่วไปเห็นอะไร เขาก็ต้องรู้สึกอย่างนั้น มองว่าเราอย่าไปปฏิเสธดีกว่า ว่าในเมื่อคุณทำอย่างนี้ คนก็ต้องมองอย่างนั้น คุณทำอย่างนั้น คนจะต้องคิดอย่างนี้

เช่นเรื่องจะแก้รัฐธรรมนูญ หรือมีเรื่องโรคระบาดอะไร ก็พูดเกี่ยวกับสถาบันฯ ใช่หรือไม่ ถึงแม้จะใช้คำพูด หรือโวหารอะไรตาม แต่คนทั่วไปก็สามารถคิดได้อยู่แล้ว ตนไม่ได้ใหญ่โต มีชื่อเสียง ถึงขนาดที่จะไปชี้นำสังคมอะไร