ดร.นิเวศน์ ส่งสัญญาณเตือน “อวสาน” หุ้นเทคยักษ์ใหญ่

หุ้นเทคฯ สหรัฐ
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนแบบเน้นคุณค่า (Value Investor)

สัญญาณเตือน “จบรอบ” หุ้นเทคยักษ์ใหญ่

วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2565 หุ้น Meta เจ้าของ Facebook เว็บสื่อสังคมที่ใหญ่ที่สุดในโลกตกลงมาถึงประมาณ 26% คิดเป็นมูลค่าของหุ้นที่หายไปประมาณ 7 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นการลดลงวันเดียวที่มากที่สุดในประวัติศาสตร์ของโลก เหตุผลที่หุ้นตกลงมานั้นเป็นเพราะมีการประกาศผลการดำเนินงานไตรมาสสุดท้ายของปี 2564 ที่ดูเหมือนว่าการเติบโตของบริษัทจะเริ่มถดถอยลง

เฉพาะอย่างยิ่งก็คือ จำนวนคนใช้เฟซบุ๊กในแต่ละวันเริ่มลดลง “เล็กน้อย”  เป็นครั้งแรก เนื่องจากคู่แข่งอย่างเช่น  “Tiktok” และอื่นๆ  กำลังเข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาดมากขึ้น โดยเฉพาะในส่วนของคนรุ่นใหม่ที่เห็นว่าเฟซบุ๊กนั้นเริ่ม “ตกยุค” นอกจากนั้นก็อาจจะเป็นเรื่องของกฎ “ความเป็นส่วนตัว” ของผู้ใช้โทรศัพท์ที่อาจจะทำให้การโฆษณาที่เป็นรายได้หลักของเฟซบุ๊กถูกกระทบและมีผลต่อผลประกอบการในอนาคตของบริษัทด้วย

อย่างไรก็ตาม รายได้และกำไรของบริษัททั้งปี 2564 ก็ยังเพิ่มขึ้นถึง 37% และ 35% ตามลำดับ และนี่ก็เป็นเรื่องน่าตกใจมากที่หุ้นเทคฯ “แห่งอนาคต” ที่ประกาศจะสร้าง “เมตาเวอร์ส” หรือ “โลกเสมือน” ที่คนทั้งโลกอาจจะเข้าไปใช้ชีวิตได้ 

มีราคาหุ้นตกลงมาราวกับว่าบริษัทกำลังเผชิญกับ “วิกฤต” อย่างกะทันหัน หรือนี่จะเป็นสัญญาณเตือนว่าเป็นการ “จบรอบ” หุ้นเทคยักษ์ใหญ่ที่มีราคาเพิ่มขึ้นมากมายจนแทบจะครองตลาดหุ้นอเมริกา เพราะหุ้นเทคที่ใหญ่ที่สุด 5 ตัวคือ เฟซบุ๊ก, แอมะซอน, แอปเปิล, ไมโครซอฟท์ และกูเกิล มีมูลค่าตลาดหรือ Market Cap. รวมกันเท่ากับประมาณเกือบ 25% ของหุ้นในดัชนี S&P 500 ซึ่งเป็นตัวแทนของหุ้นทั้งสหรัฐ 

เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ในช่วงเร็วๆ นี้ หุ้นเทคและสินทรัพย์เก็งกำไรจำนวนมาก เช่น เหรียญคริปโทฯ ต่างก็ตกลงมาค่อนข้างแรง จากภาวะเงินเฟ้อและการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยที่เริ่มจะรุนแรงขึ้นมาก

อวสานหุ้นเทค “บริษัทโตช้า-ต้นทุนเงินเพิ่ม-ดอกเบี้ยขาขึ้น”

ผมเองคิดว่าช่วงเติบโตเร็วแบบ “Super Growth” ของหุ้นเทค โดยเฉพาะที่เป็นแนว “ดิจิทัล” นั้น  น่าจะใกล้พีกหรือไปถึงจุดสุดยอดแล้ว และ “ตัวเร่ง” การเติบโตก็คือโควิด-19 ที่ทำให้คนทั้งโลกต้องหันมาใช้บริการของบริษัทใหญ่ๆ เหล่านั้นทันที รอช้าไม่ได้  

ผลก็คือยอดขายและกำไรของบริษัทเพิ่มขึ้นมาก และหลังจากวันนี้ที่โควิดคลี่คลายลง การใช้บริการก็จะเพิ่มต่อไม่ได้เร็วอีกต่อไป นอกเสียแต่ว่าจะมีผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่ๆ  เช่น เรื่องของเมตาเวอร์สหรือ Internet of Things (IoT) ที่ทำให้เครื่องใช้และสิ่งต่างๆ  สามารถติดต่อกันเองได้ อย่างไรก็ตามผมคิดว่าสิ่งเหล่านั้นน่าจะค่อยๆ เกิดขึ้นมากกว่า 

ดังนั้น ผมคิดว่าช่วงเวลานี้น่าจะเป็นช่วงของการปรับตัวลงของหุ้นเทคที่เคยดีมานาน และดียิ่งขึ้นในช่วงโควิด-19 จะเรียกว่าเป็น “อวสานของหุ้นเทค” ก็น่าจะได้  แต่จะต้องเข้าใจว่านี่ไม่ใช่บริษัทแย่ลง หรือมีบทบาทน้อยลงในเศรษฐกิจโลก แต่เป็นเรื่องของราคาหุ้นที่อาจจะขึ้นเกินเลยไปมากและการเติบโตของบริษัทที่จะโตช้าลง

ประกอบกับการที่ต้นทุนของเงินหรืออัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้นักลงทุนขายหุ้น กดดันหุ้นเทคปรับขึ้นได้ยาก บางตัวอาจจะตกลงอย่างหนัก โดยที่เฟซบุ๊กเป็นตัวอย่างที่เด่นชัด แต่สิ่งที่คนอาจจะไม่ตระหนักก็คือ “หุ้นเทคจีน” ที่ลงนำไปก่อนแล้วและลงมากกว่าเฟซบุ๊กด้วยซ้ำ

หุ้นเทคราคาไม่แพง เป็นจังหวะเข้าลงทุน

คำถามสำคัญต่อมาก็คือ เราควรขายหุ้นเทคหรือไม่ คำตอบของผมก็คือ ขึ้นอยู่กับราคาเมื่อเปรียบเทียบกับพื้นฐานที่แท้จริงของหุ้นเทคแต่ละตัว การตกลงมาของหุ้นเทคยักษ์ใหญ่หลายตัว ซึ่งรวมถึงหุ้นเทคของจีนน่าจะทำให้หุ้นเทคบางตัว “ไม่แพงอีกต่อไป” 

และถึงแม้ว่ามันอาจจะไม่โตเร็วมากเหมือนในอดีตอีกแล้ว แต่มันก็น่าจะสามารถรักษาสถานะที่เป็นอยู่ได้พร้อมๆ กับการเติบโตบ้าง โดยเฉพาะจากการสร้างบริการและผลิตภัณฑ์ไฮเทคใหม่ๆ  โดยอาศัยทรัพยากรโดยเฉพาะเงินสดที่มีอยู่มหาศาลต่อสู้กับคู่แข่งใหม่ๆ  

หรือไม่ก็ซื้อธุรกิจสตาร์ตอัพที่มีศักยภาพที่จะโตเร็วในอนาคต พูดง่ายๆ  ผมคิดว่าหุ้นเทคขนาดใหญ่นั้นกำลังกลายเป็น “หุ้นแข็งแกร่ง” ที่จะไม่มีใคร Disrupt หรือทำลายล้างได้ง่าย ดังนั้นถ้าราคาหุ้นสมเหตุผลก็สามารถลงทุนได้อย่างน่าจะปลอดภัยพอสมควร

ลองมาดูหุ้นเทคยักษ์ของโลกว่าถูกแพงแค่ไหน เริ่มตั้งแต่เฟซบุ๊กที่ราคาต่ำลงมามาก คือลดลงจากจุดสูงสุดถึงประมาณ 37% และอัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E) อยู่ที่ประมาณ 17 เท่า หรือ EP เท่ากับ 5.9% ซึ่งแปลว่าลงทุนหุ้นตัวนี้ ถ้ากำไรในระยะยาวไม่ลดลงก็จะได้ผลตอบแทนไม่น้อยกว่าปีละประมาณ 5.9% ก็ดูไม่แพงเมื่อเทียบกับอัตราดอกเบี้ย ที่แม้ว่าจะกำลังเพิ่มขึ้นแต่ก็อาจจะไปได้ไม่เกิน 4-5% ในระยะยาว

สาย VI ชี้ “หุ้นแอมะซอน” เสี่ยงสูงเกินรับได้

หุ้นแอมะซอนมีค่า P/E ที่ 62 เท่า และราคาก็ลดลงจากจุดที่เคยสูงสุดประมาณ 15-16% ในช่วงปีที่แล้ว ซึ่งก็แสดงให้เห็นว่านักลงทุนยังมองว่าเป็นหุ้นซุปเปอร์โกรทที่สามารถโตต่อไปได้อีกมาก รวมถึงอาจจะเชื่อมั่นในศักยภาพของผู้บริหารที่จะนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ 

เช่น การทำร้านค้าปลีก เช่น สะดวกซื้อหรือซุปเปอร์มาร์เก็ตที่ไม่ต้องมีคนขายหรือคนคิดเงิน เป็นต้น  อย่างไรก็ตาม การที่หุ้นมีราคาแพงมากนั้น ถ้ามีอะไรผิดพลาดหรือผิดคาดแม้แต่นิดเดียว ก็อาจจะทำให้หุ้นถูกเทขายได้ง่ายเหมือนอย่างเฟซบุ๊ก ดังนั้นผมเองคิดว่าหุ้นมีความเสี่ยงสูงเกินกว่าที่จะรับได้ โดยเฉพาะสำหรับคนที่เป็น  VI ที่อนุรักษ์นิยม

หุ้นแอปเปิล หุ้นยอดนิยม “วอร์เรน บัฟเฟตต์”

หุ้นแอปเปิล ซึ่งเดี๋ยวนี้กลายเป็นหุ้นยอดนิยมของวอร์เรน บัฟเฟตต์นั้น ตกลงมาน้อยมากในรอบนี้ และต่ำกว่า All Time High แค่ 5-6% มีค่า P/E ประมาณ 29 เท่า ถึงแม้ว่าจะไม่ถูกแต่ก็ไม่ถือว่าแพง เหตุเพราะว่าสถานะของผลิตภัณฑ์และบริษัทมั่นคงมาก ว่าที่จริงในช่วงแรกที่บัฟเฟตต์เข้าถือหุ้นตัวนี้ มันแทบจะเป็นหุ้น Value ด้วยซ้ำ เพราะค่า P/E ตอนนั้นน่าจะไม่เกิน 13-14 เท่า และมีเงินสดมหาศาล บัฟเฟตต์ไม่ได้คิดว่ามันขายความเป็นไฮเทค เพราะว่าโทรศัพท์ของแอปเปิลนั้นเป็น “ไลฟ์สไตล์” ไปแล้ว

หุ้นไมโครซอฟท์ ราคาหุ้นไปต่อยาก

หุ้นไมโครซอฟท์นั้น คล้ายๆ กับหุ้นแอปเปิลในแง่ที่ว่าผลิตภัณฑ์และบริษัทแข็งแกร่งมากและความเสี่ยงที่จะถูก Disrupt น้อยมาก ค่า P/E ที่ประมาณ 33 เท่า นั้นน่าจะสมเหตุผล อย่างไรก็ตามการเติบโตต่อไปเร็วๆ  ก็คงจะยาก และอุปสรรคของราคาหุ้นที่จะขึ้นไปก็คือภาวะดอกเบี้ยที่กำลังปรับตัวขึ้น ซึ่งจะทำให้ราคาหุ้นที่ขึ้นมามากๆ ในช่วงที่ผ่านมาไปต่อได้ยากเช่นกัน

หุ้นกูเกิลไม่แพง ลงทุนระยะยาวได้

หุ้นกูเกิลหรือหุ้นอัลฟาเบ็ทนั้น ดูเหมือนว่าปรับตัวขึ้นมาตลอดและแทบจะไม่ตกเลย คนจำนวนมากคงจะคิดว่าผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะเว็บกูเกิลนั้นหาคู่แข่งยากมาก และคนที่จะใช้ก็น่าจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงคนรุ่นใหม่ที่ต้องศึกษาหาข้อมูลมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะเดี๋ยวนี้ถ้าอยากจะรู้อะไรก็ต้องถาม “อากู๋” ดังนั้น ค่า P/E ที่ประมาณ 26 เท่า จึงดูไม่แพงและน่าจะลงทุนระยะยาวได้

หุ้นอาลีบาบา PE เหลือ 17 เท่า กลายเป็นหุ้น Value 

หุ้นอาลีบาบาของจีนนั้น ตั้งแต่มีข่าวรัฐบาลจีนเข้ามา “จัดระเบียบ” ก็ตกเอาๆ จนล่าสุดเหลือเพียงประมาณ 122 เหรียญสหรัฐ ตกลงมาจากจุดสูงสุดถึง 61% และทำให้ค่า P/E เหลือเพียง 17 เท่า ทั้งๆ ที่ผลิตภัณฑ์ของบริษัทก็คล้ายๆ กับแอมะซอนที่ยังมีโอกาสโตอีกมาก ดังนั้นหุ้นตัวนี้อาจจะกลายเป็นหุ้น Value ไปแล้ว อย่างไรก็ตามการมีเรื่องกับรัฐบาลนั้นเป็นความเสี่ยงที่สำคัญมากและคาดการณ์ได้ยาก โดยเฉพาะเป็นรัฐบาลที่มีอำนาจเด็ดขาดและอยู่ภายใต้คนคนเดียวหรือไม่กี่คน

หุ้นเทนเซน ลงทุนได้แม้ตลาดหุ้นจีนมีปัญหา

หุ้นเทนเซนของจีน ซึ่งทำทางด้านสื่อสังคมคล้ายเฟซบุ๊กนั้นก็คงคล้ายกับหุ้นอาลีบาบา แต่ตกลงมาจากจุดสูงสุดน้อยกว่าที่ประมาณ 37% มีค่า P/E ที่ 20 เท่า สูงกว่าเฟซบุ๊กเล็กน้อย แต่ก็ดูไม่แพงเมื่อเทียบกับหุ้นทั่วไปที่รวมถึงหุ้นไทย ดังนั้นนี่ก็เป็นอีกตัวหนึ่งที่พอลงทุนได้แม้ว่าตลาดหุ้นจีนยังมีปัญหา

ทั้งหมดนั้นก็คือหุ้นเทคขนาดใหญ่ที่ตอนนี้เปลี่ยนภาพไปมาก จากการเป็นสิ่งที่เข้าใจและคาดการณ์ได้ยากและราคาแพงมาก กลายเป็น “หุ้นแข็งแกร่ง” ที่มีราคาที่ “จับต้องได้” และในไม่ช้าก็จะเป็นหุ้นที่ “ลงทุนง่าย” สำหรับทุกคน เช่น ผ่าน “DR” ซึ่งเป็นตราสารแทนหุ้นที่ซื้อขายได้ในตลาดหุ้นไทย