“บีแลนด์”ปัดฝุ่นที่ดินเมืองทอง600ไร่ ลงทุนเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์

แฟ้มภาพ
“บางกอกแลนด์” ซุ่มปั้นบิ๊กโปรเจ็กต์มูลค่า 5-6 พันล้าน บนที่ดินกว่า 600 ไร่ หวังดันมูลค่าสินทรัพย์ใน “เมืองทองธานี” เพิ่มไม่ต่ำกว่า 3 เท่าตัว โฟกัส “คอมเมอร์เชียลพร็อพเพอร์ตี้” สร้างรายได้จากการให้เช่า ทั้ง “รีเทล-ออฟฟิศ-ศูนย์แสดงสินค้า” คาดอีก 3 ปีรายได้แตะ 1 หมื่นล้าน

นายปีเตอร์ กาญจนพาสน์ รองประธานกรรมการ บริษัท บางกอกแลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือบีแลนด์ และนายพอลล์ กาญจนพาสน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทอิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น แมเนจเม้นท์ จำกัดในเครือบางกอกแลนด์ ร่วมกันเปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการวางแผนพัฒนาโครงการเลเชอร์ แอนด์ เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ คอมเพล็กซ์ หรือศูนย์รวมสถานที่พักผ่อนและบันเทิงครบวงจรบนพื้นที่ประมาณ 600 ไร่ บริเวณทะเลสาบเมืองทองธานี ที่ยังเหลือจากการพัฒนา มูลค่ารวม 5,000-6,000 ล้านบาท (ไม่รวมที่ดิน)

ทั้งนี้ เพื่อรองรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูส่วนต่อขยายเข้าเมืองทองธานีที่บริษัทได้ลงทุน เป็นการผลักดันให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวและความบันเทิง และพัฒนาให้เป็นทัวริสต์เดสติเนชั่นแห่งใหม่ของกรุงเทพฯ คาดว่าจะแล้วเสร็จภายใน 2-3 ปีนี้

“ตอนนี้เรารอความชัดเจนและข้อสรุปของโครงการรถไฟฟ้าสีชมพู หากได้ข้อสรุป เราก็พร้อมเปิดโครงการดังกล่าวนี้ทันที ซึ่งคาดว่าน่าจะได้ข้อสรุปภายในปลายปีนี้ และขณะนี้อยู่ระหว่างการวางแผนพัฒนาและปรับแผนงานบางส่วนเพื่อให้สอดรับกับดีมานด์และซัพพลายของตลาดในอนาคต”

เพิ่มมูลค่าเมืองทองธานี

นายปีเตอร์ย้ำว่า การพัฒนาโครงการใหม่ ๆ ภายในโครงการเมืองทองธานีนั้น ทุกโครงการจะต้องช่วยเพิ่มมูลค่าสินทรัพย์ให้กับทุกธุรกิจภายในเมืองทองธานี ไม่ว่าจะเป็นโครงการอาคารสำนักงานให้เช่า ศูนย์การค้า ศูนย์ประชุม โรงแรม และคาดว่าหลังจากโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู (ส่วนต่อขยายเข้าเมืองทองธานี) แล้วเสร็จ หรืออีกราว 3 ปี คาดว่ามูลค่าสินทรัพย์ของเมืองทองธานี จะเพิ่มขึ้นอีกไม่ต่ำกว่า 3 เท่าตัว

นายปีเตอร์ยังกล่าวถึงทิศทางการลงทุนของกลุ่มบางกอกแลนด์ด้วยว่า จะมุ่งโฟกัสการลงทุนกลุ่มธุรกิจคอมเมอร์เชียลพร็อพเพอร์ตี้ หรือโครงการที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อให้เช่าเป็นหลัก ทั้งโครงการรีเทล(ศูนย์การค้า) และอาคารสำนักงานให้เช่ารวมถึงพัฒนาเพิ่มเติมในส่วนของศูนย์ประชุมและแสดงสินค้า เนื่องจากการลงทุนใหม่ล้วนเป็นการลงทุนเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับสินทรัพย์ที่มีอยู่ทั้งสิ้น

ล่าสุดเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา บริษัทเพิ่งเปิดให้บริการโครงการศูนย์การค้าคอสโม บาซาร์ พื้นที่รวมกว่า 8 หมื่นตารางเมตร (พื้นที่รีเทลประมาณ 4 หมื่นตารางเมตร) ประกอบด้วย โรงภาพยนตร์ในเครือเอสเอฟ ซีนีม่า ซิตี้ 5 โรง, ซูเปอร์มาร์เก็ต แม็กซ์แวลู ให้บริการ 24 ชั่วโมง, Jetts 24 Hour Fitness ศูนย์ออกกำลังกาย 24 ชั่วโมง รวมถึงร้านอาหารและร้านค้าต่าง ๆ ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีทั้งจากผู้ที่อาศัยอยู่ในโครงการ พื้นที่ใกล้เคียง รวมถึงผู้ที่เข้ามาร่วมงานประชุม สัมมนา และงานแสดงสินค้าต่าง ๆ

“จากความสำเร็จของโครงการศูนย์การค้าคอสโม บาซาร์ ทำให้มูลค่าสินทรัพย์ในโครงการและพื้นที่โดยรอบเพิ่มสูงขึ้น รวมถึงความต้องการในที่พักอาศัยและพื้นที่สำนักงานในบริเวณใกล้เคียงด้วย ทำให้เรามองหาโอกาสในการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในเมืองทองธานีที่เชื่อว่าการพัฒนาอย่างมีเอกลักษณ์ปัจจุบันธุรกิจในกลุ่มที่เป็นคอมเมอร์เชียลพร็อพเพอร์ตี้สามารถทำกำไรได้ประมาณ 1,000 ล้านบาท คาดว่าจะเพิ่มเป็น1,500 ล้านบาทภายในอีก 3 ปีข้างหน้า”

รายได้ทะลุหมื่นล้านใน 3 ปี

นายพอลล์กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับในส่วนของบริษัทอิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น ธุรกิจศูนย์แสดงสินค้า ศูนย์ประชุม และโรงแรมนั้น คาดว่าจะเป็นธุรกิจที่ได้รับอานิสงส์จากการลงทุนของโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะในเรื่องของการอำนวยความสะดวกให้กับทั้งเอ็กซิบิเตอร์ หรือผู้จัดงาน และผู้ที่จะเข้ามาร่วมงานได้มากขึ้น ที่สำคัญยังช่วยสนับสนุนให้ศูนย์แสดงสินค้าอิมแพ็คฯมีศักยภาพในการแข่งขันที่มากขึ้น และทำราคาค่าเช่าพื้นที่ได้ดีขึ้นด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ในกลุ่มธุรกิจศูนย์แสดงสินค้า ศูนย์ประชุม และโรงแรมนั้นคาดว่าในช่วง 2-3 ปีนี้ข้างหน้าจะมีรายได้เพิ่มขึ้น 15-20% และมีแผนขยายธุรกิจในส่วนของแคเทอริ่งเพิ่มขึ้น โดยมีเป้าหมายเพิ่มรายได้ในกลุ่มธุรกิจแคเทอริ่งจาก 700 ล้านบาทต่อปีในปัจจุบัน เป็น 2,000 ล้านบาทในอีก 3 ปีข้างหน้า

นายปีเตอร์กล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า สำหรับผลประกอบการปี 2562 ที่ผ่านมา(เมษายน 2561-31 มีนาคม 2562) บริษัทมีรายได้รวม 7,974 ล้านบาท (หรือคิดเป็นรายได้จากการดำเนินธุรกิจปกติเท่ากับ 6,829 ล้านบาท) แบ่งเป็น รายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 2,810 ล้านบาทศูนย์แสดงสินค้า ศูนย์ประชุม และโรงแรม4,610 ล้านบาท ธุรกิจค้าปลีก 310 ล้านบาทและอื่น ๆ 244 ล้านบาท คิดเป็นกำไร 1,816 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม จากแผนการดำเนินงานดังกล่าวข้างต้นนี้ คาดว่าจะทำให้บริษัทมีรายได้รวมแตะ 1 หมื่นล้านบาทได้ภายในอีก 3 ปีข้างหน้านี้