มหาดไทยประกาศความสำเร็จซื้อ-ขายคาร์บอนเครดิตครั้งแรกของไทย

ครั้งแรกในประเทศไทย กระทรวงมหาดไทยและสมาคมแม่บ้านมหาดไทยผนึกกำลังพันธมิตร “ประกาศความสำเร็จซื้อ-ขายคาร์บอนเครดิตครั้งแรกของไทย” นำร่อง 4 จังหวัด

“ทุกสิ่งทุกอย่างของชีวิตการทำงานเราต้อง Change for Good ตลอดเวลา” “กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียวฉันใด โครงการถังขยะเปียกลดโลกร้อนก็ใช้เวลาในการเดินทางมาเกือบ 10 ปี โดยครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อขณะที่ผมดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น และ ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ เป็นประธานชมรมแม่บ้านกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการขับเคลื่อนงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและได้พบว่าที่จังหวัดลำพูนมีการคัดแยกขยะในทุกกิจกรรมของชีวิต แม้แต่งานทำบุญ จะไม่มีอาหารตั้งโต๊ะ แต่เป็นบุฟเฟต์เป็นหม้อ ๆ ใครจะทานเท่าไหร่ก็ไปเติมตักเอา แล้วเศษอาหารที่เป็นขยะเปียก หรือเศษใบไม้ ก็มีการคัดแยก เพื่อที่จะทำให้ลูกหลานไม่เจ็บไข้ได้ป่วยจากไข้ซิก้าอันเกิดจากยุงที่มีแหล่งเพาะพันธุ์จากขยะเน่าเหม็น”

โดย ดร.วันดี เห็นว่าการจัดการขยะในตอนนั้นใช้ “เสวียน” เป็นหลัก เป็นถังขยะเปียกระบบเปิด จึงได้มาช่วยกันคิดออกแบบจนกลายเป็น “ถังขยะเปียกลดโลกร้อน” นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเปิดใจ ระหว่างการเป็นประธานประกาศความสำเร็จของ “กระทรวงมหาดไทยประกาศความสำเร็จการจัดการขยะอาหารจากครัวเรือน เพื่อรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และบรรลุเป้าหมายประเทศไทยที่ยั่งยืน (MOI’s Success on Food Waste Management for Climate Action and a Commitment to Sustainable Thailand)”

สำหรับ “การประกาศความสำเร็จซื้อ-ขายคาร์บอนเครดิตครั้งแรกของไทย” ในครั้งนี้มี ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย นายกฤษณ์ จิตต์แจ้ง กรรมการผู้จัดการ บมจ.ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) คุณกีต้า ซับบระวาล ผู้ประสานงานสหประชาชาติประจำประเทศไทย พร้อมคณะผู้แทนหน่วยงานใน UN Thailand ผู้บริหารระดับสูงในกระทรวง รวมทั้ง ผู้แทนภาคีเครือข่ายทั้ง 7 ภาคีของกระทรวงมหาดไทย และพี่น้องสื่อมวลชนทุกแขนง ร่วมงานคับคั่ง

Advertisment

นายสุทธิพงษ์เล่าว่า จากจุดเริ่มต้นของโครงการ ได้ขับเคลื่อนโครงการอย่างต่อเนื่องส่งต่อมาถึงเมื่อตนดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงมหาดไทย ซึ่งโชคดีที่มีภาคีเครือข่ายที่น่ารัก ในการช่วยบริหารจัดการขยะของถังขยะเปียกลดโลกร้อน และส่งให้ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก อบก. รับรองคิดเป็นค่าคาร์บอนเครดิตร่วมกับหน่วยงานภายนอก จากจุดเริ่มต้นในครั้งนั้น เกิดเป็นความต่อเนื่องเชื่อมส่งต่อมาถึงการขับเคลื่อนที่มีอุดมการณ์เดียวกับองค์การสหประชาชาติตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (UN SDGs) คือ การรักษาโลกใบเดียวนี้ให้มีอายุยืนยาว ด้วยการทำให้พี่น้องประชาชนได้ตื่นตัวลุกขึ้นมาเพื่อที่จะทำให้การใช้ชีวิตของตัวเองเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อทำให้ระบบนิเวศ สภาวะแวดล้อมเหมาะกับลูกหลานของเราเพื่อที่จะสามารถอยู่อาศัยได้อย่างมีความสุข มีคุณภาพชีวิตที่ดี

ซึ่งการบริหารจัดการขยะตั้งแต่ต้นทาง ทำให้พี่น้องประชาชนเริ่มเกิดการรวมกลุ่มรวมตัวกันเพิ่มมากขึ้น มีการตั้งเป็นกองทุน ที่สามารถทำได้ด้วยกัน ทุกครัวเรือนช่วยกัน ผู้นำท้องถิ่นนัดหมายให้คนรับซื้อขยะมาอาจจะเดือนละ 1-2 ครั้ง นำไปสู่กองทุนสวัสดิการของคนในตำบล-ชุมชน-หมู่บ้าน เกิดสิ่งที่เรียกว่า การช่วยเหลือเกื้อกูล และก่อให้เกิดความรักความสามัคคีเพิ่มขึ้นในพื้นที่ อันแสดงให้เห็นว่าน้ำพักน้ำแรงของคนที่ช่วยกันแสดงให้เห็นถึงความรักโลกของเรามันแปรสภาพเป็นสิ่งที่ช่วยเหลือเพื่อนบ้านได้

ปลัดมหาดไทย ระบุว่า ปัจจัยความสำเร็จไม่ได้อยู่ที่ส่วนกลางแต่ “ส่วนกลางเป็นจุดเริ่มต้นในฐานะผู้นำ” ที่ต้องแสดงให้ “ปัจจัยแห่งความสำเร็จ คือ ท่านผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ ข้าราชการทุกส่วนของกระทรวงมหาดไทยและผู้นำท้องที่ ท้องถิ่น” ในการแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าสิ่งที่เป็นนโยบายหรือสิ่งที่พวกเราอยากให้ทำนั้นมันสำคัญและจำเป็นต้องทำ แล้วจะทำแบบปี 2 ปีแล้วหยุดไม่ได้ ต้องทำตลอดไป ทำตลอดเวลา โดยเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2565 ที่ผ่านมา เป็นที่ยืนยันอย่างชัดแจ้งว่า สิ่งที่คนมหาดไทยทุกคนได้ทำอย่างต่อเนื่อง โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้นำคนสำคัญนั้น ทำให้องค์การระหว่างประเทศที่มีสมาชิกทั่วโลก คือ องค์การสหประชาชาติ ได้เห็นและร่วมลงนามประกาศเจตนารมณ์กับพวกเราที่หอประชุม UN Thailand

Advertisment

ซึ่งเป็นสิ่งที่เราภาคภูมิใจอย่างยิ่ง และความสำเร็จของนโยบายที่ดีจะส่งผ่านไปหาพี่น้องประชาชนได้ ทุกส่วนราชการ ทุกหน่วยงานต้องมาร่วมกับกระทรวงมหาดไทย เพื่อที่จะให้ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดทั้ง 76 จังหวัด นายอำเภอทั้ง 878 อำเภอ ท่านกำนันทั้ง 7,255 ตำบล ได้ช่วยกันขับเคลื่อนร่วมกันทุกภาคีเครือข่าย เพราะคนมหาดไทยทุกคนเชื่อมั่นว่า “ทุกสิ่งทุกอย่างของชีวิตการทำงานเราต้อง Change for Good ตลอดเวลา” และในวันนี้จังหวัดนำร่องทั้ง 4 จังหวัด คือ จังหวัดลำพูน สมุทรสงคราม เลย และจังหวัดอำนาจเจริญ ได้ประกาศความสำเร็จ และในระยะเวลาไม่ไกลจากนี้ เราจะมีอีก 22 จังหวัด รวมเป็น 26 จังหวัด จะร่วมประกาศความสำเร็จปริมาณคาร์บอนเครดิตที่เราจัดเก็บได้มากกว่า 2 ล้านตัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีว่าเราทุกคนได้ทำสิ่งที่ดีให้กับโลกของเรา และเมื่อทุกเส้นทางมารวมกันมันก็จะทำให้สิ่งที่ดีขยายวงกว้างทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพมากยิ่งขึ้น

ที่สำคัญในครั้งนี้ต้องขอบคุณทางธนาคารกสิกรไทย ที่ได้ประกาศจุดยืนเป็นสถาบันการเงินและผู้ให้บริการทางการเงินรายแรกของประเทศไทยหยิบยื่นความสำเร็จของการที่จะจูงใจให้พี่น้องประชาชน ได้ภาคภูมิใจว่าการเป็นคนดีของโลกด้วยการคัดแยกขยะและจัดทำถังขยะเปียกลดโลกร้อน สามารถแปลงให้กลายเป็นทุนกลับคืนสู่หมู่บ้าน/ชุมชนได้ ในราคา 260 บาท/ตันในเฟสแรก

ด้าน ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ กล่าวว่า นับเป็นพระกรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ที่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา พระราชทานแนวทางอันเนื่องมาจากพระดำริที่สอดคล้องเชื่อมโยงกับ SDGs ทั้ง 17 ข้อของ UN เริ่มตั้งแต่พระดำริ Sustainable Fashion ด้วยการใช้ผ้าไทยที่เกิดจากการที่พี่น้องประชาชนปลูกฝ้าย ปลูกหม่อน เลี้ยงไหมและใช้สีธรรมชาติ ในการย้อมผ้า เพื่อลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศ ผ่าน “โครงการผ้าไทยใส่ให้สนุก” ทำให้เกิดรายได้ให้กับพี่น้องประชาชนในทุกถิ่นที่เป็นจำนวนมาก

รวมทั้งพระราชทานโครงการพระดำริที่เป็นองค์รวมและพระราชทานพระอนุญาตให้กระทรวงมหาดไทยและสมาคมแม่บ้านมหาดไทยน้อมนำมาขับเคลื่อน คือ “หมู่บ้านยั่งยืน (Sustainable Village)” ทั้งการน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง พระราชดำริเสริมสร้างความมั่นคงด้านอาหารของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี การจัดทำถังขยะเปียกลดโลกร้อน การน้อมนำเอาทุกเรื่องที่เป็นวิถีชีวิตเชิงบวกมาเสริมสร้างพลังความรัก ความสามัคคีความเกื้อกูลกันให้พี่น้องประชาชนในชุมชนได้รวมตัวกันดูแลช่วยเหลือเกื้อกูลและรักษาศิลปวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามของท้องถิ่น และช่วยเหลือสงเคราะห์ซึ่งกันและกัน โดยล่าสุด UN Thailand ได้ไปเยี่ยมหลายจังหวัด เช่น ที่จังหวัดพัทลุง ปัตตานี สกลนคร จังหวัดลพบุรี ซึ่งการลงพื้นที่จะเป็นแรงผลักดันขับเคลื่อนต่อไปในอนาคตเพื่อที่จะทำให้พวกเราทุกคนได้มีความมุ่งมั่นตั้งใจในการดำเนินการต่อไป

ด้านคุณกีต้า ซับบระวาล (Gita Sabharwal) ผู้ประสานงานสหประชาชาติประจำประเทศไทย กล่าวชื่นชมความคิดริเริ่มต่าง ๆ เช่น โครงการคัดแยกขยะที่เป็น “ตัวเร่งSDGs” ช่วยให้ประเทศพัฒนาไปสู่เศรษฐกิจหมุนเวียนตามวาระของชาติเรื่อง Bio-Circular-Green Economy : BCG (การพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพเศรษฐกิจหมุนเวียนและเศรษฐกิจสีเขียว) โดยการซื้อขายคาร์บอนเครดิตครั้งแรกนี้คือหมุดหมายสำคัญจากการนำเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ไปปฏิบัติในระดับท้องถิ่นแบบทั้งองคาพยพ ทั้งภาครัฐ-สังคม 14 ล้านครัวเรือน “สิ่งสำคัญ คือ การส่งเสริมประเทศให้มีต้นแบบตลาดซื้อ-ขายคาร์บอนเครดิตที่โปร่งใสเป็นรูปธรรมด้วยการสนับสนุนอย่างจริงจังขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก ตลอดมา”

“ขอขอบคุณพี่น้องคนไทยทั้งประเทศภายใต้การดูแลของผู้ว่าราชการจังหวัด ประธานแม่บ้านมหาดไทยทั้ง 76 จังหวัด ท่านนายอำเภอทั้ง 878 อำเภอ ท่านนายกองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นทั้ง 7,849 แห่ง กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และภาคีเครือข่ายทั้ง 7 ภาคีของกระทรวงมหาดไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งขอขอบคุณ KBANK และ UN Thailand รวมถึงจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและประชาชนทุกคนที่ได้ร่วมกันแสดงเจตนารมณ์ และพวกเราขอยืนยันว่าสิ่งที่ทุกคนได้เสียสละเพื่อโลกใบนี้ มีผลตอบแทนให้กับลูกหลานของเราชั่วกัปชั่วกัลป์ ที่ลูกหลานของเราได้มั่นใจได้ว่าคลอดออกมาแล้วจะอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี อยู่ในโลกที่สวยงาม เหมาะสม ในการดำรงชีวิตตลอดไป” นายสุทธิพงษ์กล่าวในช่วงท้าย