“แดเนียล บรูห์ล” พลิกบทบาทเป็นผู้ก่อการร้ายใน “7 Days in Entebbe”

แดเนียล บรูห์ล นักแสดงหนุ่มมากฝีมือผู้มีผลงานอันโด่งดังมากมายทั้งภาพยนตร์และหนังทีวี โดยเฉพาะกับบทในหนังดราม่าเรื่อง Rush (2013) ของผู้กำกับ รอน ฮาวเวิร์ด (Ron Howard) ซึ่งทำให้เข้าเข้าชิงรางวัลต่าง ๆ มากมาย ทั้งลูกโลกทองทำ, BAFTA, SAG และ Critics’ Choice Awards ในสาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม ทว่าก่อนหน้านั้น เขาเป็นนักแสดงที่ถูกจับตามองจากบทตัวประกอบที่โผล่ออกมาขโมยซีนใน Inglorious Basterds ของผู้กำกับ เควนติน ตารันติโน่ (Quentin Tarantino)

ก่อนหน้าจะเดินทางมาฮอลลีวู้ด บรูห์ลเป็นนักแสดงที่โด่งดังมากมายในทวีปยุโรป คราวนี้เขาก้าวเขามาร่วมแสดงในภาพยนตร์ที่สร้างจากเหตุการณ์ก่อการร้ายสะเทือนโลก ซึ่งนำไปสู่หนึ่งในปฏิบัติการช่วยเหลือตัวประกันที่โลกต้องตะลึง กลายมาเป็นภาพยนตร์แนวระทึกขวัญที่ได้สร้างขึ้นโดยรับแรงบันดาลใจจากเหตุการณ์จริงในชื่อ “7 Days in Entebbe เที่ยวบินนรกเอนเทบเบ้”

เรื่องราวเริ่มขึ้นในช่วงฤดูร้อนปี 1976 เมื่อเครื่องบินลำหนึ่งของสายการบินแอร์ฟรานซ์ ซึ่งบินจากกรุงเทล อาวีฟไปยังกรุงปารีส ถูกสลัดอากาศจำนวน 4 คน ประกอบด้วยชาวปาเลสไตน์ 2 คน และชาวเยอรมันชาตินิยมหัวรุนแรงอีก 2 คน พากันบุกเข้ายึดครองเครื่องบินขณะลำลอยอยู่กลางอากาศ และบังคับให้บินออกนอกเส้นทางเพื่อแล่นลงจอดยังสนามบินเอนเทบเบ้ ในประเทศอูกันด้า ส่งผลให้เหล่าผู้โดยสารที่กำลังขวัญหนีดีฝ่อต้องกลายเป็นเหมือนเบี้ยที่ใช้ต่อรองแลกเปลี่ยนบนเกมการเมืองสุดแสนอันตราย

ก่อนจะไปชมภาพยนตร์สุดระทึก เราพาไปคุยกับ เดเนียล บรูห์ล กับการพลิกบทบาทครั้งสำคัญนี้

คุณเข้ามาร่วมโปรเจ็กต์นี้ได้อย่างไร ?

บรูห์ล : ตอนได้อ่านบทครั้งแรก ผมประหลาดใจจนพูดอะไรไม่ออก ผมรู้เรื่องที่เคยเกิดขึ้นที่เอนเทบเบ้ เคยดูหนังที่ทำเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้มาแล้ว ทว่าพอได้อ่านบทหนังเรื่องนี้ มันทำให้รู้เลยว่ายังมีรายละเอียดอีกมากมายที่น่าสนใจสุด ๆ แถมบทหนังยังทำให้เห็นถึงแรงผลักดันที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังการกระทำของตัวละครทุกฝ่ายได้อย่างชัดเจน

คุณเตรียมตัวอย่างไรบ้างเพื่อรับบทนี้ ?

บรูห์ล : ผมอ่านหนังสือหลายเล่มที่เกี่ยวพฤติกรรมของสมาชิกหน่วยแห่งการปฏิวัติหัวรุนแรงในเยอรมัน รวมถึงดูภาพยนตร์และหนังสารคดีอีกจำนวนมากเพื่อศึกษาลักษณะการแต่งกาย วิธีการพูด การแสดงออกของคนเหล่านั้น นอกจากนี้ผมยังศึกษาประสบการณ์ตรงจาก อาเมียร์ โอเฟอร์ ผู้เคยเป็นอดีตทหารที่เข้าร่วมภารกิจในครั้งนั้นด้วย

เป็นเรื่องน่ายินดีมาก ๆ ที่มีพยานในเหตุการณ์ตัวจริงมาอยู่ในกองถ่ายพร้อมกับพวกเรา แต่ก็แน่นอนว่า เขาย่อมมีมุมมองต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในแบบของเขา แม้ว่าผมจะชอบที่ได้พูดคุยกับเขา แต่ในการแสดงเป็นโบเซ่ ผมก็ต้องกันตัวเองให้ห่างออกมา พูดให้ชัด ๆ คือไม่ว่าเขาจะพูดอะไรออกมา ผมก็แค่ฟังหูไว้หูเท่านั้นแหละ มันก็พิลึกไปอีกแบบ

การทำงานกับผู้กำกับ โจเซ่ พาดิลฮา เป็นอย่างไรบ้าง?

บรูห์ล : แม้ว่าผมจะเตรียมตัวมาพอสมควร แต่ผมชอบวิธีที่ผู้กำกับสร้างพลังงานและความตื่นตัวกระฉับกระเฉงในกองถ่าย การทำงานกับโจเซ่ คุณต้องเตรียมตัวให้พร้อมมาก ๆ เพราะว่าเขามักจะมีไอเดียใหม่ ๆ ผุดขึ้นมาในนาทีสุดท้ายเสมอเป็นกองถ่ายหนังที่ทีมงานตื่นตัวกันมาก ๆ คือต้องพร้อมที่จะถ่ายฉากเดิมอีกครั้ง ลองแสดงแบบใหม่ หรือบางทีก็ดั้นบทกันสด ๆ ไปเลย เหมือนใช้วิธีการทำหนังสารคดีเข้ามาถ่ายทำหนังเรื่องนี้ ซึ่งสำหรับนักแสดงแล้ว ถือเป็นการทำงานที่คุ้มค่ามาก

คุณคิดว่าทำไมถึงควรเอาเรื่องที่เคยเกิดขึ้นในยุค 70 มาทำเป็นภาพยนตร์ในปี 2018 ?

บรูห์ล : เพราะว่าการก่อการร้ายยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และอิสราเอลกับปาเลสไตน์ก็ยังขัดแย้งกันไม่เลิกราเสียที และการได้มองดูเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์จากหลากหลายมุมมอง ก็ทำให้เราเข้าใจถึงกระบวนการตัดสินใจของผู้นำประเทศที่ทำให้เราต้องอยู่ในโลกที่เป็นเช่นทุกวันนี้

คุณมีเคล็ดลับอะไรเพื่อเข้าถึงจิตใจของตัวละครนี้?

บรูห์ล : เป็นคำถามที่น่าสนใจ มันมีช่วงสำคัญในหนังช่วงนึง ที่เขาต้องตัดสินใจว่าจะฆ่าตัวประกันดีไหม มันเหมือนผมเองก็ต้องตัดสินใจเหมือนกันในฐานะนักแสดง ผมเลยต้องใช้ข้อมูลจากคนที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นจริง ๆ คุณเลอ มวง (พยานที่ผ่านเหตุการณ์) อยู่ข้าง ๆ ผม เขาบอกว่าเขาจำเหตุการณ์นั้นได้ติดตา แน่นอนคุณรู้สึกต้องรับผิดชอบมากกว่าเดิมเมื่อต้องเล่นเป็นคนที่มีตัวตนจริง ๆ แถมยังพัวพันกับประเด็นละเอียดอ่อน แต่ผมรู้ดีว่าได้ทำงานกับคนมีฝีมือหลังจากครั้งแรกที่ผมได้คุยกับโจเซ่เราคุยกันเป็นชั่วโมง คุยกันไปจนถึงเรื่องการเมืองเยอรมันในตอนนี้ ผมรู้สึกได้เลยว่าชายคนนี้มีความรู้เรื่องการเมืองใช่เล่นเลย

คุณคิดว่าอะไรคือสาเหตุให้ผู้คนกลับมาให้ความสนใจกับเหตุการณ์ครั้งนั้นตลอดเวลา?

บรูห์ล : ผมว่าน่าจะเป็นความบ้าคลั่งของภารกิจนี้ ของพวกผู้ก่อการร้าย โดยเฉพาะการมีชาวเยอรมันมาจี้เครื่องบินที่มีผู้โดยสารเป็นคนยิว แม้แต่ในโลกของผู้ก่อการร้ายฝ่ายซ้ายสุดโต่งนี่ยังไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ ในอีกมุมมันเป็นปฏิบัตการณ์ทางทหารที่โลกไม่เคยเห็นมาก่อน มันคือการรุกเข้าตีแบบไม่ให้ตั้งตัว ด้วยความร่วมมือของรัฐบาลและกองทัพอิสราเอล เมื่อย้อนกลับไปคิดดูมันเป็นอะไรที่อัศจรรย์มากนะ มันเหลือเชื่อมากที่ภารกิจนี้สำเร็จ มันเป็นผลจากการร่วมมือของทุกฝ่าย