The Divine Fury หนังปีศาจเกาหลีที่ไปไม่สุดสักทาง

mysterious : เรื่อง

The Divine Fury คือ ภาพยนตร์สัญชาติเกาหลีใต้ที่ได้รับความสนใจตั้งแต่เปิดเผยรายชื่อนักแสดง ผู้กำกับ รวมถึงพลอตเรื่องที่มาได้ถูกที่ถูกจังหวะ โดยก่อนหน้านี้ก็มีภาพยนตร์เรื่องดังอย่าง Along With The God ที่เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับนรก-สวรรค์ออกมาได้อย่างน่าสนใจ ถูกพูดถึงกันปากต่อปาก จนนำไปสู่ Along With The God ภาคสอง เมื่อช่วงกลางปีที่แล้ว และในปีนี้เกาหลีใต้ก็ส่ง The Divine Fury ภาพยนตร์ที่ให้น้ำหนักไปถึงการตั้งคำถามเกี่ยวกับพระเจ้า ปีศาจ และความเชื่อ มาให้คนดูได้ร่วมกันหาคำตอบไปพร้อม ๆ กับตัวเอกในเรื่องอีกครั้ง

นักแสดงในเรื่องนี้เรียกว่ามาได้ถูกจังหวะเวลามาก ๆ ทั้ง พัค ซอจุน ที่รับบทนำเป็น ยงฮู ก็โด่งดังเป็นพลุแตกจากซีรีส์ What’s Wrong With Secretary Kim และได้แสดงสมทบในภาพยนตร์ปาล์มทองคำอย่าง “Parasite” ร่วมกับ ชเว อูชิค ที่ในเรื่องนี้มารับบท บาทหลวงชเว นอกจากนักแสดงเลือดใหม่แล้ว ยังได้ดารารุ่นเก๋าอย่าง อัน ซึงกิ มารับบท บาทหลวงอัน รวมถึง อู โดฮวาน นักแสดงหน้าใหม่ขวัญใจสาว ๆ ที่มารับหน้าที่เป็นบิชอปฝ่ายอธรรม ขับเคี่ยวกับยงฮูได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ

ผู้กำกับ เจสัน คิม หรือ คิม จูฮวาน เคยฝากงานการกำกับไว้แล้วจาก Midnight Runners ภาพยนตร์แอกชั่น-คอมเมดี้ ในเรื่องนี้เขาพลิกมาชิมลางงานแอ็กชั่น-ทริลเลอร์กันบ้าง ซึ่งต้องขอชื่นชมงานโปรดักชั่นในเรื่องนี้ที่ทำออกมาได้อย่างดีเยี่ยม มู้ดแอนด์โทนตลอดเรื่องทำออกมาได้สวยงามอลังการ รวมถึงฉากแอกชั่นที่ดีไซน์ออกมาได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว

แม้จะจั่วหัวไว้ว่าเป็นภาพยนตร์แอ็กชั่น-ทริลเลอร์ แต่ความดราม่าในเรื่องนี้ก็มีให้เห็นไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ยังคีพสไตล์การเล่าเรื่องแบบหนังเกาหลีไว้ได้อย่างเป็นเอกลักษณ์ โดยเฉพาะพาร์ตดราม่าความสัมพันธ์ระหว่างพ่อ-ลูก ที่เชื่อมโยงไปถึงจุดแตกหักทางความเชื่อของตัวละคร กระทั่งได้มาพบกับบาทหลวงอัน จึงเป็นที่มาของเรื่องราวชวนติดตามตลอดเรื่อง

สิ่งที่ชอบในเรื่องนี้มากที่สุด คือ ความสัมพันธ์ระหว่างบาทหลวงอัน และยงฮู โดยเฉพาะการแสดงของอัน ซึงกิ ที่สมกับเป็นตัวพ่อของวงการมาก ๆ ด้วยการแสดงที่น้อยแต่มาก ไม่ต้องออกท่าทางอะไรมากมายก็สามารถสื่อออกมาได้เป็นอย่างดีว่า ตัวละครนี้กำลังคิดหรือรู้สึกอะไรอยู่ โดยเฉพาะอายคอนแท็กต์ของบาทหลวงอันที่มีต่อยงฮู ให้ความรู้สึกชวนอบอุ่นฟีลพ่อ-ลูกมาก ๆ ส่วน พัค ซอจุน เองก็ทำหน้าที่รับส่งกับ อัน ซึงกิ ได้ดี จนทำให้คนดูสัมผัสได้ว่า ทั้งสองตัวละครค่อย ๆ เรียนรู้ ยอมรับ และเปิดใจซึ่งกันและกันได้ในที่สุด

ส่วนที่เป็นจุดอ่อนคงจะเป็นการผูกโยงปูมเรื่องที่ไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไหร่ จนมาถึงฉากจบที่น่าจะดูยิ่งใหญ่และเมกเซนส์กว่านี้ ก็กลายเป็นจบไปดื้อ ๆ ฉากแอ็กชั่นที่ควรจะไปได้ไกลกว่านี้ก็ดันเล็ก และไม่ค่อย ว้าว เท่าที่ควร ตัวร้ายอย่างบิชอปปีศาจก็ผลุบ ๆ โผล่ ๆ แบบที่ไม่ได้ให้ความรู้สึกชวนหวาดกลัวมากพอที่ทางวาติกันจะต้องส่ง บาทหลวงอัน มาทำหน้าที่นี้โดยเฉพาะ

โดยรวมแล้ว นี่อาจจะดูเป็นหนังที่ชวนคนดูตั้งคำถามเรื่องความเชื่อในเรื่องพระเจ้าไปพร้อม ๆ กับฉากแอ็กชั่นที่เข้ามาเสริมทัพให้น่าตื่นตาตื่นใจอยู่บ้าง แต่หากใครคาดหวังว่าจะต้องมีความน่ากลัวสยดสยอง ดราม่าน้ำตาไหลพราก หรือแอกชั่นเต็มสตรีมก็น่าจะผิดหวังอยู่หน่อย ๆเพราะหนังไปไม่สุดสักทางเลย