“แอตต้า”เร่งแผนโรดโชว์ ปั๊มรายได้ฟื้นท่องเที่ยวจีน เจาะตลาด150ล้านคน

สมาคมแอตต้าจัดโรดโชว์ตลาดจีน "ATTA Roadshow to China 2019" ใน 3 เมืองคือ "เซี่ยเหมิน-หนานซาง-ฉางชา" ระหว่างวันที่ 26-31 พฤษภาคม 2562 เพื่อเร่งปั๊มยอดตลาดนักท่องเที่ยวจีน
สมาคมแอตต้าปรับแผนโรดโชว์เร่งปั๊มตัวเลขนักท่องเที่ยวจีน แก้โจทย์ตลาดชะลอตัว บุกเจาะ 3 เมืองรอง “เซี่ยเหมิน-หนานซาง-ฉางชา” ครอบคลุมกว่า 150 ล้านคน มั่นใจเห็นผล ก.ค.นี้ กวาดรายได้เพิ่ม 2.8 พันล้าน ดันตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนทั้งปีพุ่งแตะ11-11.5 ล้านคน ชง multiple visa อายุ 5-10 ปี

นายวิชิต ประกอบโกศล นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) เปิดเผยว่า จากการประเมินสถานการณ์นักท่องเที่ยวจีนโดยรวมในช่วงไตรมาส 2 นี้ยังพบว่าอยู่ในภาวะชะลอตัวต่อเนื่องจากช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา สมาคมแอตต้าจึงเร่งหาแนวทางช่วยเหลือสมาชิกและแก้ปัญหาด้วยการขยับแผนการโรดโชว์ตลาดจีน “ATTA Roadshow to China 2019” ให้เร็วขึ้นมาเป็นช่วงระหว่างวันที่ 26-31 พฤษภาคม 2562 จากเดิมที่กำหนดไว้ในช่วงปลายปีของทุกปี

3 เมืองประชากร 150 ล้านคน 

นายวิชิตระบุว่า ปีนี้ได้เลือกเจาะ 3 เมืองรองของจีนประกอบด้วย เมืองเซียเหมิน มณฑลฝูเจี้ยน, เมืองหนานฉาง มณฑลเจียงซี และเมืองฉางชา มณฑลหูหนาน ซึ่งครอบคลุมจำนวนประชากรราว 150 ล้านคน นอกจากนี้ ยังเป็นเมืองที่เศรษฐกิจขยายตัวอยู่ในอัตราที่ดีด้วย ที่สำคัญทั้ง 3 เมืองยังมีเที่ยวบินที่ให้บริการแบบเที่ยวบินประจำสู่ประเทศไทยจำนวนมากกล่าวคือ เมืองเซี่ยเหมินปัจจุบันมีเที่ยวบินสู่ประเทศไทยรวม 15 เที่ยวบินต่อวัน เมืองหนานฉาง 3 เที่ยวบินต่อวัน และเมืองฉางชา 6 เที่ยวบินต่อวัน นอกจากนี้ ยังมีเที่ยวบินที่ให้บริการในรูปเช่าแบบเหมาลำ หรือชาร์เตอร์ไฟลต์อีกจำนวนหนึ่งด้วย

“ปัจจุบันสายการบินต่าง ๆ จากจีนและจากเมืองไทยเข้า-ออกไปยัง 3 เมืองนี้ครอบคลุมตลาดทั้งกรุงเทพฯ, เชียงใหม่, ภูเก็ต, กระบี่ และตั้งแต่เดือนกรกฎาคมนี้เป็นต้นไปยังมีสายการบินใหม่จากจีนเปิดเส้นทางบินสู่เชียงใหม่เพิ่มอีกจำนวนหนึ่งด้วย ซึ่งการเพิ่มเที่ยวบินตรงสู่จังหวัดท่องเที่ยวในภูมิภาคนั้นสะท้อนให้เห็นชัดเจนว่า จีนยังมองเห็นศักยภาพด้านการท่องเที่ยวของประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง”

ตั้งเป้าเพิ่มรายได้ 2.8 พันล้าน

นายวิชิตกล่าวต่อไปว่า การจัดโรดโชว์ครั้งนี้สมาคมต้องการจะกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวทั้ง 3 เมือง ใน 3 มณฑลดังกล่าวเกิดการเดินทางท่องเที่ยวมาประเทศไทยเพิ่มขึ้นอีกไม่ต่ำกว่า 10% จากเดิมที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาประเทศไทยรวมกว่า 7 แสนคนต่อปี และคาดว่าจะทำให้เกิดรายได้ในปีนี้เพิ่มขึ้นได้อีกไม่ต่ำกว่า 2.8 พันล้านบาท

“อีกเหตุผลหนึ่งเราขยับแผนโรดโชว์ให้เร็วขึ้นคือ ช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคมนี้เป็นช่วงปิดภาคเรียนของประเทศจีน โดยการจัดโรดโชว์รอบนี้มีเอเย่นต์ (buyer) จากทั้ง 3 เมืองเข้ามาร่วมงานเมืองละประมาณราว 100-150 ราย นอกจากนี้ ยังมีสื่อท้องถิ่นในจีนมาช่วยโฆษณาประชาสัมพันธ์ให้อีกไม่ต่ำกว่าเมืองละ 5 ราย บวกกับโปรโมชั่นต่าง ๆ ของสินค้าและบริการที่เรานำมาเสนอ มั่นใจว่าจะสามารถกระตุ้นตลาดได้ตั้งแต่ตอนนี้ และเกิดกระแสการเดินทางของนักท่องเที่ยวจีนทันทีในช่วงตั้งแต่เดือนกรกฎาคมนี้เป็นต้นไป และต่อเนื่องไปถึงช่วงปลายปี” นายวิชิตกล่าว

มั่นใจปีนี้จีนแตะ 11-11.5 ล้าน

นายวิชิตยังกล่าวด้วยว่า จากข้อมูลของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ที่ระบุว่า ในช่วงระหว่าง 1 มกราคม-20 พฤษภาคมที่ผ่านมา ประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวจีนรวมราว 4.49 ล้านคน ซึ่งลดลง 5.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากสายการบินที่ให้บริการในรูปแบบเช่าเหมาลำหรือชาร์เตอร์ไฟลต์ ที่ยกเลิกไปเพราะเกิดเหตุเรือล่มที่ภูเก็ตในปีที่ผ่านมายังไม่กลับมาให้บริการเหมือนเดิม เนื่องจากบางรายได้นำเครื่องไปบินเข้าตลาดอื่นแล้ว และบางรายก็ยังไม่สามารถหาสลอตการบินที่ดีได้เหมือนเดิม

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าตัวเลขรวมของจำนวนนักท่องเที่ยวจีนในช่วงครึ่งปีแรกจะยังไม่ดีนัก แต่เชื่อว่าสถานการณ์จะเริ่มปรับตัวดีขึ้นตั้งแต่เริ่มต้นไตรมาส 3 นี้ และจะดีต่อเนื่องไปถึงปลายปี โดยคาดว่าภาพรวมในครึ่งปีหลังจะปรับตัวดีขึ้นและมีอัตราการเติบโตสูงกว่าในปี 2561 ที่ผ่านมา คาดว่าจะมีจำนวนรวมราว 11-11.5 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาที่มีจำนวน 10.6 ล้านคน

“ต้องยอมรับว่าจากฐานที่มีขนาดใหญ่ขึ้น ทำให้ตลาดจีนไม่สามารถขยายตัวได้ในอัตราก้าวกระโดดเหมือนในช่วงที่ผ่านมาได้ โครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ มีข้อจำกัดในการรองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ทั้งศักยภาพการรองรับของสนามบิน, การจัดสรรสลอตเวลาการบินให้กับสายการบินต่าง ๆ, การคมนาคมขนส่งที่ยังไม่สะดวกนัก ตัวแปรเหล่านี้ล้วนส่งผลให้นักท่องเที่ยวไม่สามารถขยายตัวในอัตราที่สูงได้” นายวิชิตกล่าว

เล็งบุกอินโดฯ-อินเดีย-เวียดนาม

นายกสมาคมแอตต้า กล่าวอีกว่า นอกจากตลาดจีนแล้วสมาคมยังมีแผนนำผู้ประกอบการของไทยไปโรดโชว์ในตลาดที่มีศักยภาพและโอกาสในการเติบโตสูงอย่างต่อเนื่องอีกด้วย โดยในครึ่งปีหลังนี้มีแผนไปจัดที่อินโดนีเซียในช่วงประมาณเดือนสิงหาคมนี้ จากนั้นจะไปต่อที่อินเดียในเดือนตุลาคม และต่อด้วยเวียดนามในช่วงปลายปี รวมถึงเจาะตลาดใหม่ ๆ อย่างเมียนมา, ฟิลิปปินส์ ฯลฯ คาดว่าจะเห็นความชัดเจนได้ในช่วงต้นปีหน้าและมีแผนจัดเฟมทริปเพื่อกระตุ้นตลาดโซนยุโรปตะวันออก, ยุโรปกลาง เข้ามาเสริมอีกทางหนึ่งด้วย

“อุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทยยังมีศักยภาพในการเติบโตได้ต่อเนื่อง ไทยยังเป็นจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกชื่นชอบในอันดับต้น ๆ และยังเป็นตลาดที่มีสินค้าและบริการใหม่ ๆ ให้เลือกหลากหลาย ขณะที่ช่องทางการขายก็สะดวกมากยิ่งขึ้นทั้งในรูปแบบออฟไลน์และออนไลน์ ที่สำคัญราคาหรือต้นทุนด้านการท่องเที่ยวของไทยยังคุ้มค่าคุ้มราคามากเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ” นายวิชิตกล่าว

ขยายอายุ Multiple Visa 5-10 ปี

นายวิชิตยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า เพื่อเป็นการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมท่องเที่ยวให้เติบโตต่อเนื่อง สมาคมเตรียมนำเสนอ ให้มีการการอำนวยความสะดวกด้านวีซ่าให้นักท่องเที่ยว เพื่อให้สะดวกยิ่งขึ้น ให้รัฐขยายอายุของ multiple visa จากเดิมที่มีอายุ 1-2 ปี เป็น 5-10 ปี

นอกจากนี้ ยังมีแผนกระตุ้นเรื่อง reentry visa เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวชายแดนและการท่องเที่ยวเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงพัฒนาระบบการทำ e-Visa ให้ใช้งานได้จริงและอยู่ในราคาที่เหมาะสม เป็นการอำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวอีกช่องทางหนึ่งด้วย