ไมเนอร์ฯรับสัญญาณบวก เร่งกลับมาเปิดโรงแรมทั่วโลก

ไมเนอร์ อินเตอร์ฯ เผยสถานการณ์โควิดทั่วโลกมีแนวโน้มดีขึ้น ธุรกิจโรงแรมเริ่มมีสัญญาณบวก เร่งทยอยเปิดให้บริการโรงแรมในเครือ คาดว่าเปิดให้บริการเพิ่มเป็น 90% ได้ภายในเดือนกันยายนนี้ หวังรับดีมานด์-การแข่งขันในทุกภูมิภาคทั่วโลก

นายดิลลิป ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT เปิดเผยว่า ขณะนี้สถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดได้ผ่านพ้นไปแล้ว การระบาดของโควิด-19 ในหลายภูมิภาคมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นเรื่อย ๆ รัฐบาลในหลายประเทศได้กลับมาเริ่มดำเนินมาตรการทางเศรษฐกิจ โดยบริษัทได้มีการวางแผนกลยุทธ์เพื่อเตรียมความพร้อมที่จะรับมือกับการแข่งขัน และกลับมาดำเนินธุรกิจในทุกภูมิภาคทั่วโลก

ทั้งนี้ ทุกธุรกิจของบริษัทเริ่มมีการฟื้นตัวตั้งแต่ช่วงกลางเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา โดยโรงแรม ร้านอาหาร และร้านค้าไลฟ์สไตล์รวมกันกลับมาเปิดให้บริการ (reopening) แล้วเป็นส่วนใหญ่ และมีแนวโน้มทางธุรกิจที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ โดยกลยุทธ์การกลับมาดำเนินธุรกิจในทั่วโลกนั้น บริษัทจะกลับมาเปิดให้บริการเฉพาะโรงแรม ร้านอาหาร และร้านค้าไลฟ์สไตล์ที่มีจำนวนลูกค้าเพียงพอที่จะสร้างผลกำไรหรือทำให้มีกระแสเงินสดเป็นบวกเท่านั้น

โดยในส่วนของไมเนอร์ โฮเทลส์นั้นได้เปิดให้บริการโรงแรมแล้ว 370 แห่งจากทั้งหมด 535 แห่ง หรือ 69% และคาดว่าจะเปิดให้บริการเพิ่มเป็น 90% ในเดือนกันยายนนี้ ซึ่งในตลาดประเทศไทยได้เริ่มด้วยการเปิดให้บริการโรงแรมอนันตรา สยาม กรุงเทพฯ ในช่วงเดือนพฤษภาคม และโรงแรมในหัวหิน ซึ่งมีผลการดำเนินงานที่ดีจากจำนวนนักท่องเที่ยวภายในประเทศที่สูง จากนั้นได้เปิดโรงแรมที่เชียงใหม่, ภูเก็ต, สมุย, พัทยา และขอนแก่น ในเดือนมิถุนายนและกรกฎาคม

และล่าสุดที่เปิดเมื่อช่วงต้นเดือนกรกฎาคมคือ โรงแรมเดอะ เซนต์ รีจิส กรุงเทพฯ และร้านอาหารซูมา โดยคาดว่ามาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ซึ่งรวมถึงโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” เพื่อฟื้นฟูภาคการท่องเที่ยวภายในประเทศ จะช่วยผลักดันผลการดำเนินงานของโรงแรมดังกล่าวในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2563

ขณะที่ธุรกิจโรงแรมในทวีปยุโรปเริ่มมีสัญญาณบวกที่เห็นได้ชัด ประเทศส่วนใหญ่เริ่มเปิดพรมแดนให้สำหรับประเทศที่ไม่ได้อยู่ในทวีปยุโรป โดยบริษัทคาดว่าเกือบ 75% ของโรงแรมทั้งหมดในทวีปยุโรปจะกลับมาเปิดให้บริการอีกครั้งภายในสิ้นเดือนกรกฎาคม และจะกลับมาเปิดภายในเดือนกันยายนนี้

เช่นเดียวกับสถานการณ์ในประเทศสเปนและอิตาลีที่เริ่มเห็นการฟื้นตัวของธุรกิจด้วยการกลับมาเปิดให้บริการโรงแรมถึง 70% และ 66% ตามลำดับ ทั้งนี้ โดยเมื่อมีการผ่อนปรนให้สามารถเดินทางระหว่างประเทศภายในทวีปยุโรปได้ในช่วงปลายเดือนมิถุนายน ธุรกิจโรงแรมในทวีปยุโรปเริ่มมีผลการดำเนินงานดีขึ้นเนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวภายในทวีปยุโรปมีสัดส่วนร้อยละ 75-80 ของจำนวนแขกที่เข้าพักทั้งหมด

ด้านนายรามอน อาราโกเนส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอ็นเอช โฮเทลกรุ๊ป กล่าวว่า ไตรมาส 2 ถือเป็นไตรมาสที่ทางโรงแรมจะได้รับผลกระทบมากที่สุด เนื่องจากมีมาตรการล็อกดาวน์ทั่วทั้งทวีปยุโรปในช่วงเดือนเมษายนและพฤษภาคม อย่างไรก็ตาม ยังถือเป็นที่โชคดีว่าแผนโครงสร้างต้นทุนที่ยืดหยุ่นที่ทางบริษัทนำมาใช้ในช่วงระยะเวลา 2-3 ปีที่ผ่านมา ทำให้ผลประกอบการของบริษัทกลับมาฟื้นได้ค่อนข้างรวดเร็วตั้งแต่เดือนมิถุนายน

โดยโรงแรมในยุโรปจะได้รับอานิสงส์โดยตรงจากการเข้าสู่ช่วงวันหยุดฤดูร้อนซึ่งคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางท่องเที่ยวในยุโรปมากขึ้น ส่งผลให้ธุรกิจ urban leisure กระเตื้องขึ้น โดยเฉพาะในประเทศสเปนที่มีอัตราการเข้าพักในปัจจุบันสูงถึง 40-50% แล้ว บริษัทจึงเชื่อมั่นว่าจะเริ่มเห็นสัญญาณบวกที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้นอีกครั้งตั้งแต่เดือนสิงหาคมนี้เป็นต้นไป