กระทรวงต่างประเทศ เผย คนไทย เจ็บ 1 เหตุโจมตีอิสราเอล

กระทรวงการต่างประเทศ เผย คนไทยเจ็บ 1 ในอิสราเอล ห้ามคนไทยออกจากที่พัก   

วันที่ 7 ตุลาคม 2566 นางกาญจนา ภัทรโชค อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่า ได้รับรายงานจากสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ อิสราเอล รายงานเหตุการณ์โจมตีด้วยจรวดเขามายังอิสราเอลว่า วันนี้ (7 ต.ค.) เวลาประมาณ 06.30 น. ตามเวลาท้องถิ่น (ตามหลังไทย 4 ชม.) ได้เกิดเหตุการณ์โจมตีด้วยจรวดเข้ามายังอิสราเอลเป็นวงกว้าง กระจายตั้งแต่รอบฉนวนกาซา บริเวณตอนกลางประเทศ รวมถึงกรุงเทลอาวีฟ เมืองข้างเคียง และนครเยรูซาเล็ม

โดยสถานทูตได้แจ้งเตือนคนไทยในอิสราเอลและเผยแพร่วิดีโอแนวปฏิบัติตัวเมื่อได้ยินสัญญาณเตือนภัยแล้ว นายกรัฐมนตรี และรองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ สั่งการสถานเอกอัครราชทูตให้ดูแลคนไทยและติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด ทางการอิสราเอลได้ประกาศพื้นที่ฉุกเฉิน 80 กม. รอบฉนวนกาซา ซึ่งรวมถึงกรุงเทลอาวีฟ เปิดหลุมหลบภัยสาธารณะในเมืองต่างๆ พร้อมเรียกทหารกองหนุนเพิ่มเติม โดยกระทรวงการท่องเที่ยวอิสราเอลได้ออกประกาศเตือนนักท่องเที่ยวแล้ว

ในส่วนผลกระทบต่อคนไทยในอิสราเอล สถานทูตได้รับแจ้งว่า มีคนไทย 1 ราย ซึ่งทำงานที่โมชาฟ มิชตาคิม ถูกคนร้ายบุกเข้ามายิงได้รับบาดเจ็บที่ขา โดยสถานทูตได้ติดต่อพูดคุยแล้วยังมีกำลังใจดี และได้ติดต่อให้แพทย์ให้คำปรึกษาออนไลน์ ทั้งนี้ มีคนไทยพำนักอยู่บริเวณฉนวนกาซาราว 5,000 คน โดยที่สถานการณ์ยังคงมีพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง

กระทรวงการต่างประเทศจะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและจะรายงานความคืบหน้าเป็นระยะ และสำหรับคนไทยที่ได้รับผลกระทบ โปรดติดต่อได้ที่สถานเอกอัครราชทูต หมายเลขโทรศัพท์ (+972) 546368150 และ กองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ หมายเลข 0-2575-1047-51

Advertisment

ด้านเฟซบุ๊กของสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงเทลอาวีฟ ประเทศอิสราเอล ประกาศเตือนคนไทยในอิสราเอลว่า ตามที่ได้เกิดเหตุจรวดโจมตีจากฉนวนกาซา ไปยังหลายพื้นที่ในอิสราเอลและมีผู้ก่อการร้ายแทรกซึมเข้ามาในพื้นที่ของอิสราเอล ตั้งแต่ช่วงเช้าวันที่ 7 ตุลาคมนี้นั้น สถานเอกอัครราชทูตขอเตือนให้คนไทย 1.เข้าห้องหลบภัยทันทีที่ได้ยินเสียงไซเรน (หากไม่ทัน ให้หมอบราบลงกับพื้น ไม่ถ่ายรูป ไม่วิ่งไปที่โล่ง) 2.ปฏิบัติตามมาตรการของทางการอิสราเอลอย่างเคร่งครัด 3.ขอให้ทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่อาศัยในเขตภาคใต้ใกล้เคียงฉนวนกาซา และภาคกลาง (รวมถึงกรุงเทลอาวีฟ) ไม่ออกจากที่พักอาศัย ด้วยความห่วงใยจากสถานทูตเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ