แผน “ทรัมป์” ขึ้นภาษีรถยนต์ 25% อาจย้อนทำลายเศรษฐกิจสหรัฐ ?

สงครามการค้าโลกยุ่งเหยิงและอีนุงตุงนังมากขึ้นทุกวัน ทั่วโลกก็ต้องเตรียมพร้อมรับมือกับนโยบายใหม่ ๆ จากสหรัฐอเมริกาในทุกจังหวะ เมื่อหลายเดือนก่อนสหรัฐได้ประกาศเก็บภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมเพิ่ม 25% และ 10% ไปแล้ว และล่าสุดดูเหมือนความตั้งใจในการขึ้นภาษีนำเข้า “รถยนต์” 25% ของ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีผู้เดาใจยากแห่งสหรัฐอเมริกา ดูจะเข้าใกล้ความจริงมากขึ้นเรื่อย ๆ

เพราะมีการเคลื่อนไหวจากหลายฝ่าย เดอะ วอชิงตันโพสต์ รายงานอ้างแหล่งข่าวนิรนาม 3 คนที่กล่าวตรงกันว่า ที่ปรึกษาทำเนียบขาวเชื่อว่าทรัมป์วางแผนจะเพิ่มการเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์สูงถึง 25% มูลค่า 200,000 ล้านเหรียญสหรัฐในปีนี้

ขณะที่ทรัมป์ได้ทวีตข้อความที่ทำให้นักลงทุนและนักเศรษฐศาสตร์ทั่วโลกต้องขมวดคิ้ว ระบุว่า “ทุกครั้งที่ผมเห็นนักการเมืองที่อ่อนแอ ขอให้ผมหยุดมาตรการขึ้นภาษีเพื่อตอบโต้การโดนเรียกเก็บภาษีที่ไม่แฟร์จากประเทศอื่น ผมสงสัยว่าพวกเขาคิดอะไรกันอยู่ ?”

ทั้งนี้ ทรัมป์ได้พบกับ “ฌ็อง-คล็อด ยุงเกอร์” ประธานคณะกรรมาธิการสหภาพยุโรป (อียู) ณ ทำเนียบขาว ในช่วงเย็นวันพุธที่ผ่านมา โดยได้เจรจาถึงเรื่องการหาจุดสมดุลการค้าระหว่างกัน อียูถือเป็นตลาดที่เกินดุลการค้าสหรัฐ นำมาซึ่งมาตรการตอบโต้ทางภาษีกันมาโดยตลอดหลังทรัมป์รับตำแหน่ง

อย่างไรก็ตามมีรายงานว่า แม้ทรัมป์และยุงเกอร์จะเจรจาไปได้สวย และประกาศแสวงหาความร่วมมือ แต่รัฐบาลวอชิงตันจะยังไม่หยุดสืบสวนว่าการจัดเก็บภาษีรถยนต์ต่างสัญชาติในอัตราปัจจุบันเป็นภัยต่อตลาดสหรัฐอเมริกาหรือไม่ ทำให้ยังมีโอกาสที่สหรัฐอเมริกาจะขึ้นกำแพงภาษีนำเข้ารถยนต์ตามที่ผู้ผลิตรถยนต์ทั่วโลกกังวลใจ

Advertisment

ผลสำรวจจากกระทรวงพาณิชย์แห่งสหรัฐอเมริกาเมื่อปี 2017 ระบุว่าสหรัฐนำเข้ารถยนต์โดยสารจากนานาชาติรวม 191,700 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่ส่งออก 57,000 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยหากมีการประกาศเก็บภาษีรถยนต์เพิ่ม 25% จริง ประเทศ

แรกที่จะได้รับผลกระทบคือ “เม็กซิโก” ที่มีส่วนแบ่งมูลค่าการนำเข้ารถยนต์ของสหรัฐ 24% มูลค่า 46,900 ล้านเหรียญสหรัฐ ตามด้วย แคนาดา 22% มูลค่า 42,500 ล้านเหรียญสหรัฐ ญี่ปุ่น 39,800 ล้านเหรียญสหรัฐ เยอรมนี 20,200 ล้านเหรียญสหรัฐ และเกาหลีใต้ 15,700 ล้านเหรียญสหรัฐ

มีการคาดการณ์ว่า หากสหรัฐมีการเรียกเก็บภาษีรถยนต์เพิ่มขึ้นอัตราดังกล่าวจริง ๆ จะส่งผลให้ราคารถยนต์สูงขึ้นราว 6,000 เหรียญสหรัฐต่อคัน โดยสหภาพยุโรปได้ร่อนหนังสือเตือนว่า หากทรัมป์ขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์จริง คนที่จะเสียหรือได้รับผลกระทบเยอะที่สุดไม่ใช่ประเทศคู่ค้า แต่เป็นสหรัฐอเมริกาเอง

กรรมาธิการแห่งอียูระบุว่า “การขึ้นภาษีของทรัมป์เป็นการทำร้ายตัวเอง และจะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐอ่อนแอ สูญเสียได้มากถึง 300,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หากโดนประเทศคู่ค้าอื่น ๆ ออกมาตรการภาษีโต้ตอบ”

Advertisment

ทั้งยังอ้างว่า ค่ายรถจากยุโรปตั้งโรงงานและผลิตรถยนต์รวมกันคิดเป็นมากกว่า 1 ใน 4 ของไลน์การผลิตทั้งหมดในสหรัฐ และมีโรงงานในจุดยุทธศาสตร์มากมาย ทั้งในรัฐเซาท์แคโรไลนา แอละแบมา มิสซิสซิปปี และเทนเนสซี ซึ่งเป็นรัฐเสียงหลักของรีพับลิกัน นอกจากนี้ การผลิตของค่ายรถยุโรปในสหรัฐ มีเป้าหมายหลักคือ “การส่งออก” แทบทั้งสิ้น

ขณะที่ผู้ผลิตรถยนต์หลายค่ายก็ออกมาตอบโต้ทรัมป์ เช่น บีเอ็มดับเบิลยู จากเยอรมนี ที่มีโรงงานผลิตรถยนต์ในเซาท์แคโรไลนา เพื่อการส่งออกกว่า 70% ได้ขู่ว่าจะลดการลงทุน และลดจำนวนคนงานในสหรัฐ ทันทีที่ทรัมป์ประกาศขึ้นภาษี หรือเจนเนอรัล มอเตอร์ส (จีเอ็ม) ระบุว่า ถ้าทรัมป์ขึ้นภาษี ก็เหมือนจะบังคับให้บริษัทต้องลดจำนวนคนงานในโรงงานสหรัฐไปกลาย ๆ

“ไมเคิล เครบส์” นักวิเคราะห์อาวุโสจากออโต้ เทรดเดอร์ ได้ให้ความเห็นกับซีเอ็นเอ็นว่า การขึ้นภาษีของทรัมป์จะซัฟเฟอร์ผู้บริโภคอเมริกันเต็ม ๆ เพราะ “ไม่มีรถยนต์ที่ใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตในอเมริกาเพียว ๆ รถยนต์ที่ขายในอเมริกาทุกคันต้องอาศัยชิ้นส่วนที่นำเข้าจากต่างประเทศทั้งสิ้น”

ด้านสภานโยบายรถยนต์แห่งสหรัฐอเมริกา กลุ่มล็อบบี้ยิสต์ด้านอุตสาหกรรมรถยนต์ คาดว่าการขึ้นภาษีจะทำให้มูลค่าการนำเข้าชิ้นส่วนรถยนต์ของผู้ผลิตในสหรัฐสูงขึ้นถึง 35,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่ภาษีการนำเข้ารถยนต์ที่ประกอบนอกประเทศจะเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 48,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และจะดันราคารถยนต์ให้สูงขึ้นกว่าเดิมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะผู้ผลิตสหรัฐอเมริกาไม่มีกำลังมากพอจะผลิตทุกชิ้นส่วนภายในประเทศ เนื่องจากค่าแรงในสหรัฐสูงมาก จึงต้องนำเข้าจากประเทศอื่น ๆ เช่น เม็กซิโก และไม่ใช่เพียงรถมือหนึ่งราคาสูงขึ้นเท่านั้น คาดว่าจะดันให้ราคาตลาดรถมือสองขยับขึ้นตามไปด้วย

อย่างไรก็ตาม วันที่ 31 ก.ค.นี้ ผู้แทนจากสหภาพยุโรป ญี่ปุ่น เม็กซิโก เกาหลีใต้ แคนาดา ประเทศผู้ผลิตรถยนต์หลักของโลก ได้เดินทางมาประชุมร่วมกัน ณ กรุงเจนีวา เพื่อหารือความร่วมมือในการต่อต้านและตอบโต้แผนการขึ้นภาษีรถยนต์ของโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งหลายประเทศคาดหวังว่าการประชุมครั้งนี้จะสามารถนำไปสู่การลงนามสนธิสัญญาว่าด้วยการส่งออกรถยนต์ในกลุ่มประเทศผู้ประชุมโดยปราศจากภาษี