คอลัมน์ ชีพจรเศรษฐกิจโลก
โดย ไพรัตน์ พงศ์พานิชย์
- ด่วน! วอยซ์ทีวี ประกาศปิดกิจการทุกแพลตฟอร์ม เลิกจ้าง 100 กว่าคน
- ลูกแม่ค้าขายผัก-พ่อขับแท็กซี่ สู่เก้าอี้ “ปลัดพลังงาน” บทพิสูจน์ชีวิต “ดร.ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ”
- NETA X ขาย มิ.ย.นี้ ราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท หลัง MOU สรรพสามิต
แลร์รี ซัมเมอร์ส อดีตรัฐมนตรีคลังสหรัฐอเมริกา ให้สัมภาษณ์ทางโทรทัศน์เมื่อเร็ว ๆ นี้ ถึงสภาวะทางเศรษฐกิจของ สหรัฐอเมริกา ซึ่งถูกถล่มอย่างหนักทั้งจากโควิด-19 และราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ดิ่งลงต่อเนื่องไว้ว่า “ในความเป็นจริงแล้วเรากำลังตกอยู่ในที่นั่งเดียวกับญี่ปุ่น”
คำพูดสั้น ๆ ของอดีตขุนคลังที่ตอนนี้เป็นอาจารย์สอนเศรษฐศาสตร์อยู่ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด กินความหมายลึกซึ้ง ครอบคลุมทั้งสิ่งที่อุบัติอยู่ในปัจจุบันนี้เรื่อยไปจนถึงที่กำลังจะเกิดขึ้นตามมาในอนาคต
ซัมเมอร์สเตือนเอาไว้ในประโยคถัดมาชัดเจนว่า “สถานะของญี่ปุ่นที่ว่านี้ยากอย่างยิ่งที่จะหลุดพ้นออกมาได้”
ที่สำคัญก็คือ สภาวการณ์ทางด้านเศรษฐกิจที่ว่านี้ ไม่ได้จำกัดว่าจะเกิดขึ้นเฉพาะกับสหรัฐอเมริกาเพียงประเทศเดียวเท่านั้น แต่ยังสามารถรวมไปถึงอีกหลายต่อหลายประเทศที่กำลังเผชิญสภาวะวิกฤตแบบเดียวกันอยู่ในเวลานี้
คำนี้หมายถึงสถานการณ์ทางเศรษฐกิจจำเพาะอย่างหนึ่ง ซึ่งไม่ค่อยปรากฏในตำราวิชาเศรษฐศาสตร์ใด ๆ มากมายนัก แต่กลับเป็นวัตรปฏิบัติปกติทั่วไปในญี่ปุ่นมานานหลายทศวรรษแล้ว
ไม่ใช่ญี่ปุ่นอยากได้หรือชื่นชอบสถานการณ์ที่ว่านี้ แต่เป็นเพราะทำอย่างไรก็ยังดิ้นไม่หลุดสักทีนั่นเอง
นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ในแวดวงวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์มีศัพท์บัญญัติใหม่อย่างคำว่า “เจแปนิฟิเคชั่น” ขึ้นมา เพื่อสะท้อนให้สภาวการณ์เข้าสู่สถานการณ์แบบที่ญี่ปุ่นเป็นอยู่และเป็นมาแล้วหลายสิบปีนี้
แต่ในเวลานี้ พอล เชียร์ด นักเศรษฐศาสตร์ อาวุโสประจำสำนักเคนเนดีของฮาร์วาร์ด ชี้ให้เห็นว่า ถ้านิยามคำว่า “เจแปนิฟิเคชั่น” ไว้จำกัดเพียงแค่การที่ “ยีลด์เคิร์ฟ” หรือ “เส้นกราฟที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างอัตราผลตอบแทนกับอายุคงเหลือ” ของตราสารหนี้ทั้งยวงวูบลงใกล้ศูนย์แล้วละก็ “กวาดตามองไปก็ดูเหมือนประเทศที่เหลือทั้งโลกก็กำลังมุ่งหน้าไปในทิศทางเดียวกัน”
เชียร์ดควรเข้าใจในเรื่องนี้ดีที่สุดคนหนึ่ง เนื่องจากเขาเป็นนักวิชาการทางการเงินอยู่ในญี่ปุ่นทั้งในช่วงทศวรรษ 1990 และ 2000 เมื่อกำลังเกิดการเปลี่ยนผันครั้งใหญ่นี้กับญี่ปุ่น
ในสถานการณ์แบบญี่ปุ่น อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงลดลงจนใกล้จะเป็นศูนย์หรือไม่ก็ต่ำกว่าศูนย์ แต่กระนั้นไม่ว่าจะด้วยเหตุผลกลใดก็แล้วแต่ ทำให้ไม่ว่าจะเป็นครัวเรือนหรือธุรกิจทั้งหลายก็ไม่ยอมกู้ยืม ไม่ยอมควักกระเป๋าออกมาใช้จ่ายนอกเหนือจากความจำเป็น
ผลจากการนี้สะเทือนถึงการจัดซื้อ การผลิตและราคาของสินค้าที่ทำให้บริษัทห้างร้านและโรงงานผลิตทั้งหลาย อย่างน้อยก็ต้องจำกัดคน จำกัดการลงทุน ซึ่งส่งผลต่อเนื่องไปยังการจ้างงาน และในที่สุดก็กระทบสู่ปริมาณเงินในกระเป๋าของผู้บริโภค ยิ่งทำให้ความต้องการสินค้าลดน้อยลงไปอีก
วนเวียนกันอยู่อย่างนี้เหมือนงูกินหาง เหมือนสังคมที่กลืนกินตัวเองทีละเล็กทีละน้อยไปเรื่อย ๆ
นอกเหนือจากญี่ปุ่นแล้ว ประเทศพัฒนาแล้วทั้งหลายในช่วงหลังวิกฤตการณ์การเงินเมื่อปี 2008 ก็ร่ำ ๆ จะเดินเข้าสู่เส้นทาง “เจแปนิฟิเคชั่น” อยู่รอมร่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคพื้นยุโรป
การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้เค้าลางของ “เจแปนิฟิเคชั่น” แผ่ขยายออกไปครอบคลุมหลายประเทศในโลก
ในทางหนึ่งภาวะช็อกจากการแพร่ระบาดทุบทำลายทั้งดีมานด์และซัพพลายลงไปแทบจะทั่วโลก หนักหนาสาหัสชนิดที่แม้แต่ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ยังยอมรับว่ามีชีวิตมา 89 ปีเพิ่งเจอะเจอ
ระบบห่วงโซ่อุปทานหยุดชะงัก สับสน การผลิตสะดุดลงแทบจะสิ้นเชิง ผู้คนจำนวนมหาศาลทั่วโลกไม่ว่าจะโดยสมัครใจ หรือถูกบังคับก็ตามที กักตัวเองอยู่แต่ภายในบ้าน จำกัดการเดินทางจนเหลือน้อยที่สุด อุปสงค์ลดลงจนเหลือน้อยที่สุดเช่นเดียวกัน
ที่จะเกิดขึ้นตามมา คือ การลอยแพพนักงาน ซึ่งส่อแววให้เห็นกันแล้วในอุตสาหกรรมการบินและอุตสาหกรรมท่องเที่ยว
ไม่นานธนาคารกลางและรัฐบาลของนานาประเทศก็จะระดมอัดฉีดกันขนานใหญ่เข้ามาในระบบเศรษฐกิจ แล้วไม่นานธนาคารกลางของแต่ละประเทศก็จะพบว่า “กระสุน” ในคลังหมดลงอย่างรวดเร็ว
นักวิเคราะห์ในตลาดคาดการณ์กันว่า ระดับอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงโดยเฉลี่ยของประเทศพัฒนาแล้วทั้งหมดจะลดลงสู่ระดับ 0% ภายใน 3 เดือนนี้
ปัญหาก็คือ แม้ในสภาพเช่นนั้นยังช่วยอะไรได้ไม่มากมายนัก
ตราบเท่าที่ “ความกลัว” และ “ความกังวล” ต่อความไม่แน่นอนในอนาคตที่เกิดขึ้นจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ยังไม่หมดไป ยากนักที่ผู้บริโภครายใดจะควักกระเป๋าหรือยอมเป็นหนี้เป็นสิน
ในส่วนของบริษัทธุรกิจ มีตัวเลข “หนี้” ค้ำคออยู่เห็น ๆ
อินสติติวต์ ออฟ อินเตอร์เนชั่นแนล ไฟแนนซ์ ระบุเอาไว้ว่า หนี้สินในธุรกิจ “น็อนแบงก์” ทั้งหลาย ณ สิ้นปี 2019 ที่ผ่านมาอยู่ที่ 75,000 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจาก 48,000 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นปี 2009 มหาศาล
พอล ครุกแมน นักเศรษฐศาสตร์ระดับรางวัลโนเบล ชี้ว่า ภายใต้สภาพ “เจแปนิฟิเคชั่น” เช่นนี้มีเพียงรัฐบาลเท่านั้นที่หลงเหลือความสามารถในการกระตุ้นเศรษฐกิจ และ “เป็นหนี้” ได้
ขาดดุลงบประมาณปีละ 2% ของจีดีพี เพื่อใช้ไปลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน, พัฒนาเด็กและเยาวชนกับงานวิจัยแต่ต้องไม่ใช้หนี้คืน
ปล่อยหนี้ให้พุ่งขึ้นถึงระดับ 200% ของจีดีพี ถึงจะมีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจใหม่อีกรอบ ลองดูกันไหม !?!